เปลี่ยนโฉมพฤติกรรมผู้บริโภคแนวใหม่ ด้วย NFT Token

กิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้ง Claim Di NFT
Share

โลกของการเงินดิจิทัลยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ดูเหมือนปัจจุบันยังมีกำแพงใหญ่ขวางหน้าอยู่ จนทำให้เราวนเวียนกับคริปโต NFT Token และเทคนิคการเงินแบบแปลกๆ แต่ยังคงมีคำถามกับมูลค่าที่เป็นจริงของมัน

กิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้ง Claim Di
โดย กิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้ง Claim Di

“ราคาพวกนี้มันอิงจากอะไรกันแน่ หรือเพียงแค่อารมณ์ หรือการปั่นราคา?” คือคำถามที่เราเจอบ่อยมากจากโลกการเงินแบบใหม่

NFT Token (Non-Fungible Token) ในโลกปัจจุบันนั้นกลายเป็นตลาดของนักสะสม ภาพของงานศิลป์ งานวรรณกรรม ฯลฯ ถึงแม้จะสร้างมาจากฐานของเทคโนโลยีกับความคิดสร้างสรรค์จนกลายเป็นผลงานเฉพาะตัวที่มีเพียงหนึ่ง สุดท้ายก็กลายเป็นเวทีให้นักปั่นทั้งหลายเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรโดยที่ไม่มีเรื่องการใช้งานจริงในหัวแต่อย่างใด เราจึงมีภาพลิง ภาพแมว แปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมายในตลาด บางส่วนก็ขายลอยๆ บางส่วนก็เอาไปผูกกับเกม หรือโลกเสมือนจริงอื่นๆ

หรือว่าข้อจำกัดของโลกการเงินแบบใหม่ที่ว่าไม่ให้ผูกติดกับกฎเกณฑ์ธุรกิจ และเงื่อนไขภาครัฐ ในโลกเดิม ทำให้มุมมองของ Blockchain ที่วางไว้ง่ายๆ แค่ให้ติดต่อกันได้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ถูกวางเงื่อนไขใหม่จนไม่สามารถนำมาใช้ได้ในโลกความเป็นจริง

นั่นทำให้โลกของ NFT ถึงทางตัน จนไปไม่ได้ไกลเกินกว่านี้อีกแล้วหรือ?

โดยพื้นฐานแล้วการสร้าง โทเค่น รูปแบบนี้ ก็เหมือนกับการสร้างไฟล์ดิจิทัลทั่วไปนั่นแหละ แต่ที่สร้างมูลค่าก็คือ แต่ละไฟล์ต้องไม่เหมือนกัน มีความแตกต่าง และมีหนึ่งเดียว ถ้าเป็นไฟล์โหลๆ ที่คัดลอกกันได้ มันก็จะหมดมูลค่าลงไป

คำถามคือ นอกจากไฟล์ศิลปะ จะมีอะไรที่มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ซ้ำกัน พอที่จะมีมูลค่านำไปสู่การซื้อขายได้อีกหละ

พวกเราลืมอะไรกันไปหรือเปล่า มนุษย์ หรือ Human นี่แหละคือยูนิค เป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีการซ้ำกันเลย แต่เราคงขายมนุษย์ไปเป็นทาสในยุคนี้คงไม่ได้ อย่างไรก็ตามเราขายข้อมูลส่วนตัวของเราได้ ซึ่งความจริงข้อมูลส่วนตัวของเราถูกนำไปซื้อขายมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่เจ้าของข้อมูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด พวกเราถูกละเมิดมาอย่างยาวนานเพราะมีคนเก็บข้อมูลของเรา พวกเขาขายมัน แล้วก็มีคนเอาข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างความรำคาญให้เราในรูปแบบต่างๆ หรือไม่ก็เอาข้อมูลเราไปรวมกับข้อมูลคนอื่นแล้ววิเคราะห์จนออกมาเป็นพฤติกรรม เราเรียกมันว่า “พฤติกรรมผู้บริโภค” นำไปสู่การสร้างแผนการตลาดรองรับข้อมูลที่ได้นั่นเอง

ว่าไปแล้วข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค ถูกเก็บโดยองค์กรต่างๆ ที่ให้บริการกับคนทั่วไปมาอย่างยาวนาน จนเราต้องมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA มาคุ้มครองอย่างตอนนี้กันอย่างไรเล่า บางรายได้ข้อมูลแล้วไม่ได้เอาไปทำอะไรมากมาย บางรายเรียกหาข้อมูลจำนวนมากก่อนที่เราจะไปขอใช้บริการเขา บางรายก็ใช้ต้นทุนจำนวนมากในการจัดเก็บ บางรายก็ปล่อยปละละเลยข้อมูลเหล่านี้ จนถึงกระทั่งถูกขโมยข้อมูลยังไม่รู้ตัว ฯลฯ สุดท้ายโลกของข้อมูลส่วนบุคคลในปัจจุบันก็คือ เราปล่อยให้ผู้บริการเป็นคนจัดเก็บ ส่วนผู้บริโภคเองไม่มีโอกาสในการเก็บและใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวได้เลย

ถ้าสิ่งนี้ไม่ใช่แค่รูปลิง รูปแมว แต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ทุกคนต่างก็จัดเก็บส่วนตัวเอาไว้ โลกจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า

เมื่อถึงวันนั้นทันทีที่เราเข้าร้านกาแฟ เราจะเก็บข้อมูลในทุกมิติ เช่น เข้าร้านแบรนด์อะไร สั่งอะไร ราคาเท่าไหร่ เวลาอะไร ซื้อแบบกลับบ้านหรือนั่งทานในร้าน ชอบหวานมากหรือหวานน้อย ซื้อแบบเงินสดหรือสแกนจ่าย ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้อาจแทบไม่มีประโยชน์กับเจ้าของข้อมูลเลย แต่มีองค์กรธุรกิจมากมายที่ตาลุกวาว อยากได้ข้อมูลเหล่านี้

มิติของการเก็บข้อมูลในรูปแบบนี้จะเกิดความหลากหลาย เกิดความแตกต่าง ข้อมูลมีการอัพเกรดตลอดเวลา เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้บุคคลธรรมดาทั่วๆไป เห็นความสำคัญในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ด้วยตัวเอง

ปัจจัยที่จะสร้างสิ่งนี้ให้กลายเป็นข้อมูลส่วนบุคคลก็คือ 1. ต้องมีแอพที่ใช้งานง่าย ติดตัวผู้ใช้ตลอดเวลา 2. ต้องมีผลประโยชน์หรือแรงจูงใจที่ทำให้ทุกคนยอมเก็บ 3. ระบบ ecosystem จนสร้าง demand และ supply เกิดขึ้นได้อย่างเป็นจริง หรือคือเกิดตลาดสมบูรณ์เกิดขึ้น 4. มีเงินดิจิทัลที่เหมาะสม เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน

จริงๆ ทุกอย่างที่ต้องการมีพร้อมอยู่แล้วในตลาดปัจจุบัน เพียงแต่บางคนเห็น หลายคนไม่เห็นนั่นเอง

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลก็จะพัฒนาเป็น Bureau ที่เราคุ้นเคยก็เรื่องการเงิน เพราะหลักฐานทางการเงินมันดูเก็บง่ายและมีประโยชน์มากสุดในช่วงที่ผ่านมา แต่ต่อไปมันจะเป็น Bureau ทั้งชีวิต ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์เลือกได้ว่าเราจะเก็บชีวิตส่วนไหน ไม่เก็บชีวิตส่วนไหน

แน่นอนเทคโนโลยีมันก็เป็นดาบสองคม มีประโยชน์และมีโทษ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์ในโลกของความเป็นจริง เพียงแต่ครั้งนี้มันมอบการตัดสินใจมาไว้ที่เจ้าของทั้งหมด ผิดจากเทคโนโลยีก่อนๆ ที่เจ้าของไม่สิทธิ์ตัดสินใจอะไรเลย แล้วปล่อยให้ชีวิตของตัวเองขึ้นกับความเอาใจใส่ที่มากพอของคนอื่น ยังไงมันก็ดีกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า

หากคาดการณ์ในอนาคตว่า อีกห้าปีต่อจากนี้ ทุกคนจะสร้าง โทเค่น ส่วนตัวขึ้นมา อย่างน้อย 80% ในโลกนี้ต้องมี คงมีอะไรหลายอย่างที่จะถูก disrupt หรือถูกลบล้างจากโลกความเป็นจริงธุรกิจตัวกลางมากมายจะเปลี่ยนรูปโฉมไปเหมือนความตั้งใจของ Blockchain ที่จะเปลี่ยนโลกให้เป็น decentralize

เหรียญ หรือ โทเคน มากมายหลายรูปแบบจะเข้ามาเป็นสกุลเงินเพื่อจะใช้แลกเปลี่ยน NFT เหล่านี้ และของแต่ละคนจะมีมูลค่าไม่เหมือนกัน เช่น ข้อมูลของคนขับรถแย่ มีประวัติการชน และเปลี่ยนประกันทุกปี ข้อมูลของเขาจะถูกเมินจากบริษัทประกันทั่วไป แต่เขาจะได้รับความสนใจจากผู้ผลิตเบรก หรืออะไหล่รถยนต์ยี่ห้อรถที่เขาใช้อยู่แทน นี่คือโลกของความแตกต่างที่จะเกิดขึ้น

คำถามสุดท้าย ใครจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วจะผูกขาดแพลตฟอร์มเหมือนเฟซบุ๊กหรือไม่ แล้วคนไทยมีสิทธิ์สร้างมันขึ้นมาใช้กันเองได้หรือไม่ คำตอบคือเทคโนโลยีตัวนี้สร้างไม่ยาก โอกาสผูกขาดมีไม่มาก ยิ่งไม่ผูกขาดระบบนี้จะยิ่งเติบโต แต่ถ้าผูกขาดระบบก็จะด้อยค่าตัวเองลง ที่สำคัญผู้ประกอบการคนไทยสามารถร่วมมือกันสร้างขึ้นมาใช้กันเองได้แน่นอน และน่าจะเริ่มเห็นใช้กันได้ในปีหน้า

บทสรุปที่แทบจะแจ่มแจ้งของโลก NFT แม้จะเล่าให้ทุกคนฟังหมดไม่ได้ แต่เชื่อแน่ว่าภาพอนาคตอันใกล้จะตอบคำถามด้วยตัวมันเอง

Related Articles