Metaverse: สถานีต่อไปที่ใครก็อยากไปให้ถึง

Share

จักรวาลออนไลน์ใหม่อย่าง Metaverse เป็นเป้าหมายใหม่ที่กำลังเดินทางไปถึง นอกจากอนาคตอันสดใสที่หลายคนหวัง กลับกันยังมีความเสี่ยงใหม่ที่รออยู่เช่นเดียวกัน

 

“Metaverse” เมตาเวิร์ส หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “จักรวาลนฤมิตร” เป็นกระแสมาแรงที่จับความสนใจชนิดที่แบรนด์สินค้าต่าง ๆ ล้วนสรรหาวิธีการที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นจ้าวแห่งเมตาเวิร์ส โดยอาศัยแนวทางผสมผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่หลากหลายมารองรับ ตัวอย่างเช่น Gucci ที่สร้างโลกของตัวเองขึ้นมาในแซนด์บ็อกซ์ของเมตาเวิร์ส ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาแบรนด์สินค้าหรูทั้งหลายต่างก็ประกาศความพร้อมที่จะซื้อพื้นที่ในแซนด์บ็อกซ์เพื่อเริ่มต้นสร้างโลกของตนขึ้นมาบนแพลตฟอร์มนี้กันทั้งนั้น

Metaverse – สถานีต่อไปที่ใครก็อยากไปให้ถึง

ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นการอุบัติขึ้นของร้านอาหาร NFT แห่งแรกของโลก The Flyfish Club ที่ได้เปิดให้บริการที่นิวยอร์ก การจะใช้บริการของร้านนี้ได้ คุณต้องซื้อบัตรสมาชิก NFT เสียก่อน เพราะในร้านมีจำนวนที่นั่งจำกัด โดยเจ้าของร้านได้ปล่อยเหรียญจำนวน 2.7 พันเหรียญโทเคนสำหรับสมาชิกทั่วไป และอีก 385 เหรียญโทเคนสำหรับลูกค้าระดับวีไอพี สำหรับลูกค้าที่สนใจสมาชิกแบบถาวร ก็จะมีสนนราคาอยู่ที่ 2.5 Ethereum หรือประมาณ 8,000 ดอลลาร์ต้น ๆ โดยลูกค้าจะได้สิทธิ์ใช้บาร์เครื่องดื่ม โซนร้านอาหาร และเข้าร่วมกิจกรรมแบบไปรเวทของทางร้านได้

แดน เนียรี่ รองประธานของ Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวในการแถลงข่าวเสมือนจริงครั้งล่าสุดว่า หากจะพูดถึงความว่องไวในการปรับตัวรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น อุปกรณ์พกพาหรือการส่งข้อความของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องยอมรับว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นมีความสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด

บริษัท SoftBank Group Corp ลงทุนแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สในเกาหลีใต้ด้วยงบประมาณมูลค่าถึง 150 ล้านดอลลาร์ โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก ด้วยการจำหน่ายสินค้าแฟชั่นหรูหราสำหรับสวมใส่ลงไปบนตัวละครสมมุติรูปแบบ 3D ของผู้ใช้งาน

หากพิจารณาจากระดับความตื่นตัวของกระแส ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมตาเวิร์สมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากรายงานของ PWC คาดการณ์ล่วงหน้าว่าเทรนด์เทคโนโลยี AR และ VR อาจสร้างผลกระทบต่ออาชีพการงานในตลาดถึง 23 ล้านตำแหน่งภายในปี 2030 ในทางกลับกันเทคโนโลยีเหล่านี้อาจนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 1.92 ล้านล้านดอลลาร์ เหตุผลประการหนึ่งก็คือเทคโนโลยีที่ใช้ในเมตาเวิร์สนั้นสามารถอุดช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการลงมือปฏิบัติได้

มุมมองภาคธุรกิจเป็นอย่างไร

เมตาเวิร์สจะมอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟรูปแบบใหม่ผ่านเทคโนโลยี VR, AR และ Mixed Reality ช่วยให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าเดิม เก็บรักษาข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น และสนุกไปกับกระบวนการของเทคโนโลยี งานวิจัยฉบับล่าสุดโดย PWC ที่เน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยี VR เพื่อพัฒนาทักษะแบบ soft skill นั้นพบว่าพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมผ่านทางเครื่องจำลองสถานการณ์แบบเสมือนจริง มีอัตราการเรียนรู้ได้ไวกว่าผู้เรียนในชั้นเรียนถึงสี่เท่า และไวกว่าผู้เรียนทางออนไลน์สองเท่า นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับการจัดสรรทรัพยากรแล้ว ชั่วโมงในการเรียนก็มีระยะเวลาที่สั้นลง โดยใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น เมื่อเทียบกับชั้นเรียนปกติที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

แซนดร้า ลี กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้“จริงอยู่ที่เมตาเวิร์สมีประโยชน์ในด้านความบันเทิง ผู้เล่นใช้เวลาท่องไปในจักรวาลเสมือนจริง แต่ในเวลาเดียวกันฝั่งธุรกิจและผู้ประกอบการเองก็ได้ประโยชน์จากการใช้งานพื้นที่ในโลกดิจิทัลนี้ด้วย นึ่งในตัวเลือกสำหรับภาคธุรกิจที่ชัดเจนที่สุดคือการพัฒนาด้านการฝึกอบรมและประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับพนักงาน เมตาเวิร์สและเทคโนโลยีอิมเมอร์ซีฟต่าง ๆ (เทคโนโลยีที่สร้างความกลมกลืมระหว่างโลกในความจริงกับโลกจำลองแบบดิจิตอล) มีลูกเล่นที่จะช่วยเร่งการพัฒนาศักยภาพด้าน e-skill และอื่น ๆ ได้ไม่น้อยเลย” แซนดร้า ลี กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าว

รายงานของ Aimprosoft คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตลาดการศึกษาอี-เลิร์นนิ่งนั้นจะมีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 182.56 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 เป็น 383.23 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026

Metarisks” (ความเสี่ยงนฤมิตร) คืออะไร

ในทางกลับกัน บ่อยครั้งที่คนยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “เมตาเวิร์ส” อย่างชัดเจนเมื่อนำมาใช้งาน เช่นหมายถึงโลกเสมือนจริงที่มีอยู่ทุกวันนี้อย่าง Fortnight หรือหมายถึง VR ecosystem ของ Oculus หรือเปล่า และหนักเข้าไปอีกเมื่อคนเพิ่มศัพท์ใหม่ ๆ ที่ชวนงงอย่าง NFT และบล็อกเชน เพิ่มเข้าไปในการใช้เมตาเวิร์ส ตัวอย่างเช่น สตาร์ตอัปรายหนึ่งที่พัฒนาโซลูชั่นออกมาเพื่อสร้างภาพอวตารแบบดิจิทัลของผู้ใช้ซึ่งเปิดทำงานด้วย AI สามารถขุดเหมืองและขายเหรียญ NFT เพื่อนำมาใช้ในเมตาเวิร์สได้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณงงจนหัวหมุนไปกับความหมายต่าง ๆ

แซนดร้า ลี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าว่า “ความซับซ้อนเช่นนี้ทำให้ผู้ใช้เกิดความสงสัยว่า จะต้องมีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการกำหนดนโยบายเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากตัดเรื่องความตื่นตัวกับกระแสออกไป เราจะพบว่าหลาย ๆ สิ่งก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิม  เรายังประสบปัญหากับโอกาสเสี่ยงถูกละเมิดรุกล้ำและยึดบัญชี ซึ่งนำไปสู่การขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและการฉ้อโกง โดยวิธีเดียวกันนี้ หากผู้ไม่หวังดีเจาะผ่านบัญชีอีเมลโดยใช้ฟิชชิ่ง มัลแวร์ หรือใส่ข้อมูลหลอกลวง ก็จะแอบเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคุณหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทได้ อาชญากรไซเบอร์ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณที่เก็บอยู่บนแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สตัวโปรดได้อีกด้วย จากมุมมองในฝั่งของภาคธุรกิจ ก็ยังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์คือจุดอ่อนที่สุดในด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์”

บางเรื่องก็อาจมีความแตกต่างออกไป ลองจินตนาการดูว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นได้จริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหากแนวคิดดังกล่าวยังคงมีอยู่ หนึ่งในเมตาเวิร์สชื่อดังเปิดให้มีการเชื่อมต่อทำงานร่วมกันได้ เช่น บ้านที่ซื้อไว้บน Decentraland และรองเท้าผ้าใบสุดหรูจาก OpenSea สามารถไปได้ทั่วทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงแพลตฟอร์มที่ใช้ไปทำงานบนออฟฟิศเสมือนจริง ทั้งนี้ ลองจินตนาการว่าหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมาแม้เพียงจุดเดียวจากการเชื่อมโยงทั้งหมดนี้ ก็จะเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องบัญชีของคุณ

ปัญหาอีกประการ คือ ระบบการเปิดทำงานร่วมกันอาจตั้งอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน เช่น Ehtereum ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบในการรักษาข้อมูลความเป็นตัวตนส่วนบุคคลด้วยตัวเอง และยังรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัยอยู่บนบล็อคเชนนั้นที่ขาดผู้ดูแลที่มีอำนาจศูนย์กลาง นี่จึงหมายถึงหากอวตาร NFT สุดรักของคุณถูกขโมยไป ทางแพลตฟอร์มก็ไม่สามารถช่วยคุณได้ เหมือนที่เคยมีการสาธิตไว้ในกรณีการขโมย NFT-ape อันโด่งดัง อีกทั้งการผูกมัดตัวตน (และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล) บนกระเป๋าสตางค์บล็อกเชน ซึ่งเก็บเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณเอาไว้ ทำให้อาชญากรไซเบอร์จะยิ่งเอาจริงเอาจังในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ยิ่งขึ้นไปอีก

ท้ายที่สุดแล้วคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มคือสิ่งสำคัญ หลายบริษัทเลือกใช้เทคโนโลยีคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลหลักและมีการจัดตั้งทีมงานที่คอยดูแลโดยเฉพาะ ดังนั้นการย้ายออฟฟิศมาอยู่ในโลก VR อาจเป็นขั้นตอนต่อไปในเชิงตรรกะ (แม้แต่เทคโนโลยียังจำเป็นต้องวิวัฒนาการตัวเอง เพื่อทำให้แนวคิดในการเป็นสำนักงาน VR ที่ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันมีความน่าสนใจ) ผู้ที่ต้องทำงานในด้านการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นความลับอาจจำเป็นต้องอาศัยโซลูชั่นแบบติดตั้ง on-premise และจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลตัวตนของพนักงานลงบนบล็อคเชนอย่างเด็ดขาด

จึงแปลว่าเมตาเวิร์สควรจะกลายเป็นแบบจำลองใหม่หรือไม่ (ซึ่งยังอยู่ในประเด็นของคำว่า “สมมุติ” อยู่ดี) พื้นฐานของการป้องกันภัยคุกคามก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นคือปกป้องบัญชีด้วยการใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่านและการใช้งานระบบยืนยันตัวตนสองชั้น เลือกใช้โซลูชั่นระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เชื่อถือได้ในการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์และฟิชชิ่ง และหาความรู้ให้กับตนเองและพนักงานเรื่องแนวทางการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ดีที่สุด หากคุณใช้สกุลเงินคริปโตอยู่ก่อนแล้ว ให้ลงทุนในกระเป๋าสตางค์แบบฮาร์ดแวร์และได้โปรดอ่านคำแนะนำด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของแคสเปอร์สกี้ในการเก็บรักษาเงินคริปโตของคุณให้ปลอดภัย

แซนดร้า ลี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าเมตาเวิร์สยังคงห่างไกลจากความเป็นจริงที่แน่นอน แต่เมื่อใดก็ตามที่มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คุณจะพบว่าไม่ใช่ทุกแบรนด์สินค้าจะสามารถเติบโตในตลาดการแข่งขันนี้ได้ รูปอวตารยังมีข้อจำกัดทั้งในด้านเวลา โอกาสและพลังงานที่ใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับบริษัทเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นผู้ควบคุม แบรนด์สินค้าที่หวังว่าจะประสบความสำเร็จบนเมตาเวิร์สในอนาคตจำเป็นต้องสำรวจหาขอบเขตและความเป็นไปได้ตั้งแต่วันนี้ และเดิมพันความเสี่ยงของตน ก่อนที่จะไม่มีพื้นที่โลกเสมือนจริงหลงเหลือให้ได้เข้าไปครอบครอง”

Related Articles