Apple กับการเปลี่ยนโลกดิจิทัลครั้งใหม่ ที่ใหญ่และกว้างกว่าเดิม

Apple Vision Pro ไม่ใช่แค่สินค้าราคาแพงตัวใหม่จาก Apple แต่มันคืออุปกรณ์พร้อมแนวทางใหม่ของการเปลี่ยนโลกดิจิทัลใหม่อีกครั้งของ Apple
Share

 

การมาของ Apple Vision Pro ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์สินค้าดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่หมายถึงนี่คืออีกครั้งที่ Apple กำลังท้าทายโลกดิจิทัลด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ เหมือนดั่งที่ศาสดาผู้ล่วงลับอย่าง Steve Jobs ในวันที่เปิดตัว iPhone เมื่อ 9 มกราคม 2007

 

แม้ว่าเราจะเป็นหนึ่งในคนอีกหลายพันล้านคน ที่ยังไม่ได้ลองสวมใส่ทดลองอุปกรณ์ต้นแบบของ Apple Vision Pro สินค้าตัวใหม่ล่าสุดในรอบเป็นสิบปี แต่จากภาพการนำเสนอของ Tim Cook ซีอีโอคนปัจจุบันและทำหน้าที่ผู้สืบทอดลัทธิความเชื่อแบบ Apple คนปัจจุบัน ได้พูดถึงการมาของอุปกรณ์ใหม่รวมถึงความสามารถของมัน โดยที่ความหมายของเขาบนเวทีที่พยายามบอกว่า นี่คือสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกดิจิทัลของคุณให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในฐานะหนึ่งในสาวกก็มีอาการตอบสนองได้แบบเดียวคือ มันมาเสียที!! ทำให้นึกถึงอีเวนต์การเปิดตัว McIntosh รุ่นแรกในปี 1984 ที่บริษัทซื้อโฆษณาในพักครึ่งเวลาของการแข่งขัน Super Bowl ในปี 1984 เป็นครั้งแรกที่ Apple นั้นประกาศตัวให้กับอุตสาหกรรมในการปลดปล่อยโลกดิจิทัลในวันนี้ ด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีสีสันและระบบติดต่อกับผู้ใช้ที่เป็นกราฟฟิกพร้อมเมาส์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขาคือผู้มาก่อนกาล แม้จะไม่ได้เป็นผู้คิดนวัตกรรมแต่คือผู้ปรับใช้ให้เข้าถึง มนุษยชาติ ได้อย่างเหมาะเจาะ

หยุดการอวย Apple ไว้แค่นี้ก่อน ต่อไปคือการป้ายยาที่บอกตามตรงว่า นั่งน้ำลายไหลกับการนำเสนอในวันเปิดตัวไปแล้ว ยังซ้ำด้วยการป้ายยาจาก Influencer หลายคนจากทั่วโลกที่ได้เข้าไปมีโอกาสทดลอง อย่างน้อยคืออาการอิจฉาอย่างรุนแรงจาก KOL ทุกคนที่ได้เข้าไปสัมผัส

 

What’s Apple Vision Pro

ในงาน WWDC 2023 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2023 นอกจากการเปิดตัวสินค้าและการอัพเดตในความสามารถของซอฟต์แวร์อื่นๆ ของบริษัทแล้ว ทุกครั้งตั้งแต่สมัย Steve Jobs อยู่ก็คือหากรอบไหนมีทีเด็ดหรือว่าของใหม่ก็จะถูกจัดไว้ในตอนท้ายสุดในคำที่เราคุ้นหูกันดีว่า One More Thing

และสิ่งนั้นก็คือ Apple Vision Pro คือ แว่นตา AR-VR ที่ผสานระหว่างโลกความเป็นจริงและโลกเสมือน ถือว่าเป็นสินค้าเฉพาะชิ้นแรกของ Apple เปิดตัวไปเมื่อ WWDC 2023 ที่ผ่านมา ที่เกี่ยวกับโลกเสมือนอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะก่อนหน้านั้นเราอาจจะได้รู้จักโลกของ AR มาครั้งแรกบน iPad Pro ที่มีเซนเซอร์ LIDAR มาในปี 2020 และ iPhone 12 Pro ในปีเดียวกัน

รูปลักษณ์หน้าตาของอุปกรณ์ใหม่นี้ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เราได้ตัดสินแล้วว่า Tim Cook ได้แรงบันดาลใจมาจากที่ไหน ใช่เลยหลังจากที่แวะมาเยี่ยมตลาดประเทศไทยบ่อยๆ และปรากฏรูปที่เขาได้ไปรับประทานผัดไทยมิชชิลิน 1 ดาว อย่างร้านเจ๊ไฝ  แกก็คงได้ไอเดียพร้อมกับไปบอกทีมออกแบบว่า หน้าตาของอุปกรณ์ Wearable ตัวใหม่ต้องเป็นแบบนี้

แต่สิ่งที่มีอยู่ในอุปกรณ์ใหม่นี้มีมากไปกว่านั้น นั่นคือคอนเทนต์ที่เป็นภาพและเสียงจากจอแสดงผลแบบ 3 มิติ ภาพความละเอียดคมชัดสมจริง นอกจากนำไปใช้ด้านความบันเทิงอย่าง ดูหนัง ชมวิดีโอ หรือเล่นเกมแล้ว คาดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์กับวงการอื่นๆ ได้ เช่น การประชุมทางไกล การผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ รวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้เทคโนโลยีด้านการแพทย์ เป็นต้น

สเปกของอยู่ที่ความโดดเด่นของกล้องจำนวน 12 ตัว ที่มีจอแสดงผลภาพคมชัดละเอียดแบบ 4K มาพร้อมกล้องเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูง 5 ตัว ที่จับความเคลื่อนไหวของศีรษะและท่าทางต่างๆ ของมือเพื่อฉายภาพ 3 มิติอย่างสมจริงแม่นยำ และควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด

นอกจากนี้ยังมีระบบ Optic ID สำหรับสแกนม่านตา พร้อมกับฟีเจอร์ EyeSight ที่ปรับหน้าจออัตโนมัติ มีโหมดบอกคนรอบตัวว่ากำลังรับชมคอนเทนต์ รวมถึงยังเป็นแว่น AR ที่มีปุ่มบันทึกวิดีโอเพื่อป้องกันการรบกวนจากรอบข้าง ในส่วนแบตเตอรี่ชาร์จแล้วสามารถใช้ยาวนานถึง 2 ชั่วโมง

อุปกรณ์ล้ำหน้าตัวใหม่นี้ถูกผลิตให้มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก ดีไซน์ทันสมัย ใช้วัสดุพรีเมียมที่มีคุณสมบัติเพิ่มความสบายในการสวมใส่ มีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เข้ากับโครงหน้าของผู้สวมใส่ได้ มีระบบระบายอากาศและระบายความร้อนได้ดี

Tim Cook take a Photo with Apple Vision Pro
Credit Picture : AP Photo/Jeff Chiu

ทำอะไรได้บ้าง

เจ้าแว่นตาหรืออาจจะเรียกว่า หน้ากาก มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ visionOS ได้เข้ามานำเสนอแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่รูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ใช้ และเปิดโอกาสอีกมากให้แก่นักพัฒนา เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ยุคต่อไปเท่านั้น ไอ้ที่ว่าจะแค่ทำอะไรเหมือนกับเป็นจออีกอันนี่ ไม่ใช่สิ่งที่ Apple จะทำแน่นอน

เพราะ Tim Cook ได้พูดไว้ตอนที่สาธิตการทำงานของอุปกรณ์ชิ้นใหม่นี้ ด้วยแววตาอันเต็มเปี่ยมด้วยความภูมิใจว่า “ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ตามด้วย iPhone ในการเป็นคอมพิวเตอร์พกพา เชื่อว่ามันจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์ในยุคอนาคตที่เรานำความเชี่ยวชาญหลายสิบปีมาใช้ ในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานคอมพิวเตอร์ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

จากการสาธิต สิ่งที่เราเข้าใจอยู่แล้วว่าเจ้าหน้ากากกันลมนี้จะกลายเป็นเหมือตัวกลางใหม่ที่จะเชื่อมเราเข้าสู่สภาพแวดล้อมของ Apple คล้ายๆ เป็นเป็น Center ที่รวมเอาทุกอย่างที่เราเคยมีในทั้ง iPhone iPad AppleTV Mac มารวมไว้ในนี้ ซึ่งก็ถูกเป็นส่วนหนึ่ง เพราะคงน้อยไปหากทำได้เท่านั้นความตั้งใจของทั้ง Tim Cook และบริษัทคงอยากทำให้นี่คืออุปกรณ์ที่นำพาเอาคนอื่นๆ ที่ไม่ได้คุ้นเคยกับ Ecosystem สามารถใช้งานมันได้ง่ายและมากกว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไว้

 

โอกาสที่จะเปลี่ยนโลกดิจิทัล

พูดกันตรงๆ Apple Vision Pro ไม่ใช่แว่น AR หรือ VR ตัวแรกที่เกิดขึ้นบนโลก ที่ผ่านมาเรารู้จัก HoloLens จากทาง Microsoft ที่เรียกตัวเองว่าเป็นอุปกรณ์แบบ Mixed Reality หรือ Oculus ที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของ Meta เจ้าของเดียวกับเครือข่ายสังคมอันดับหนี่งของโลกอย่าง Facebook

Metaverse

ถ้าถามว่า Apple จะเข้ามามีเอี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า Metaverse หรือไม่ คำตอบก็คือ ใช่ เพราะมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้การมีอุปกรณ์ที่มีความสามารถพอหรือมากกว่า เข้าไปแบ่งรายได้จากก้อนเค้กที่ใหญ่มากพอแถมคนที่เข้ามาก่อนก็ยังไม่สามารถครองส่วนแบ่งได้แถมยังขาดทุนย่อยยับขนาดนั้น แต่สิ่งที่ได้เห็นอาจจะแตกต่างจากรายอื่นโดย Apple น่าจะไม่เข้าสู้ตรงๆ น่าจะเลือกวิธีการแบบป่าล้อมเมืองเข้าไป

Apple น่าจะเดินหน้าด้วยสิ่งที่ถนัดด้วยการเน้นด้านความบันเทิงไปก่อนเพื่อสร้าง ประสบการณ์ ให้ลูกค้านั้นคุ้นเคยไปก่อน ด้วยการนำเอาภาพการใช้งานแบบ Spatial Computer เพื่อสร้างความบันเทิง โดยเฉพาะการเข้าถึงเกม 3 มิติ ที่ให้ประสบการณ์เล่นแบบเต็มตาเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนที่แยกออกจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างชัดเจน

มีการเตรียม API สำหรับนักพัฒนาสามารถนำไปใช้เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่เป็น 3 มิติจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Spatial Sound หรือ Spatial Video ซิ่งความสามารถเหล่านี้มีพร้อมแล้วบน visionOS

อีกเรื่องหนึ่งที่ Apple นั้นไม่ลืมก็คือเรื่องของการติดต่อสื่อสาร ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าราคาค่าตัวสำหรับสินค้ารุ่นแรกที่ 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ คร่าวๆ ราคาในประเทศไทยสำหรับการวางขายอย่างเป็นทางการน่าจะประมาณ 150,000 บาท คนที่สามารถมีกำลังซื้อขนาดนั้นก็คงมีแค่ Geek และองค์กรธุรกิจ

เพราะส่งหนึ่งที่มีอยู่ในนี้คือความพร้อมสำหรับการใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ประชุมทางไกลที่นิยมในโลกทั้ง 3 ตัว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Team Zoom และ Webex โดยที่ความน่าทึ่งของของใหม่นี้ก็คือการจับการเคลื่อนไหวของมือโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์หรือเซนเซอร์ใดๆ ไว้ที่มือ มีเพียงกล้องที่ทำหน้าที่แทน ทำให้ในเวลาที่ประชุมหากผู้ร่วมประชุมไม่ได้สังเกตรายละเอียดมากนักอาจจะเข้าใจว่ากำลังนั่งคุยกับคนปกติ ไม่ใช่ Avatar แบบ 3 มิติ

และที่มีนักวิเคราะห์รวมถึงความเห็นจากผู้คนมากมายทั่วโลกก็คือ เมื่อ visionOS มันดีขนาดนี้อุตสาหกรรมความบันเทิงแบบหนึ่งจะ Take Advantage กับสิ่งนี้มากที่สุดเลย เชื่อว่าหลายคนก็เดาออกนั่นคืออุตสาหกรรมความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่นั่นเองครับ จะว่าไปอุตสาหกรรมนี้ได้พยายามกับเทคโนโลยีแบบ 3 มิติมานานก่อนใคร แต่ก็ยังไม่มีบริษัทไหนให้โซลูชันที่ดีที่สุด

ปัจจุบันมีเพียงเทคโนโลยี VR ของ Sony PlayStation4 และ 5 ที่มีคอนเทนต์แนวนี้ให้บริการอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

 

เชื่อว่าหากมีการประกาศวางขายในประเทศไทยเมื่อไหร่ เราก็คงมองเห็นภาพของการเปลี่ยนโลกจากเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งมันอยู่ที่คุณแหละที่จะบอกได้ว่ามันจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนในสิ่งที่คุณมีหรือกระทำต่อโลกดิจิทัล

Related Articles