Carbon Credit มันคืออะไร ซื้อขายได้ไหม แล้วขายให้ใคร?

Carbon Credit คำที่หลายคนคุ้นหูคุ้นตา แต่ความเข้าใจของวันนี้ยังถูกต้องเหมือนอย่างที่มีการสื่อสารกันใน Cop21 หรือไม่ เราไปทำความเข้าใจกัน
Share

 

เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของ สิ่งแวดล้อม และภาวะโลกร้อน การลงมือทำในหลายๆ เรื่องอย่างน้อยมันก็ช่วยให้โลกอยู่กับเราไปอีกซักระยะ

 

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คำว่า Carbon Credit ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันมากมาย ทั้งในเวทีระดับโลก ในแวดวงการเมือง เศรษฐกิจและอีกหลายวาระ ในฟากคนฟัง ให้ฟังเพลินๆ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่สุดท้ายหลายคนอาจจะยังงงกันอยู่ อีกหลายคนอาจสงสัยว่าสรุปแล้วคืออะไร ซื้อขายกันยังไง ถึงเวลาที่เราควรทำความเข้าใจอย่างจริงจัง

ตั้งแต่ที่ท่านผู้นำของบ้านเรา ได้เดินทางเข้าร่วมประชุม COP21 กลับมา เรื่องราวทางสิ่งแวดล้อมประเด็นต่างๆ ได้ถูกยกเอามาพูดถึงบ่อยครั้งและในหลายต่อหลายวาระด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ Carbon Credit ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้กันมาล่วงหน้านับสิบปี

แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ถูกนำมาขยายผลอย่างต่อเนื่อง หรือมีการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก แต่ปัจจุบันประเด็นนี้กลายเป็นวาระสำคัญของโลกที่องค์กรหรือหน่วยงานหัวก้าวหน้าจะไม่ปล่อยผ่านไป โดยมีองค์กรชั้นนำทั่วโลกมากมายออกมายืนยันคำมั่นสัญญาในการก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางด้านคาร์บอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

Carbon Credit แต้มบุญด้านสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้

คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการที่บุคคลหรือองค์กรได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม และเมื่อบรรลุการลดคาร์บอนในปริมาณหนึ่ง ก็สามารถนำไปซื้อขายในตลาดกลาง หรือ marketplace ได้

Carbon Credit Balance
Image by Freepik

หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ องค์กรใดก็ตามที่สามารถลดก๊าซต่างๆ ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก (จำนวนคาร์บอน) ที่ปลดปล่อยในแต่ละปี ได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็จะสามารถนำปริมาณคาร์บอนที่ลดลงมาคำนวณและประเมิน ด้วยการนำไปขายเป็นเครดิตให้กับองค์กรอื่นได้ เป็นการซื้อขายผ่านตลาดกลาง หรือ marketplace

ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไกต่างๆ ให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อน หนึ่งในกลไกคือ การซื้อขายมลพิษ หรือ คาร์บอนเครดิต กับประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะประเทศที่พัฒนาแล้วต่างตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถลดก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกลงตามที่กำหนดไว้ได้ การซื้อขายเครดิตจึงกลายเป็นความจำเป็น เพื่อชดเชยการมีส่วนทำให้โลกร้อน

ประเทศไทย กับ Carbon Credit

ประเทศไทย เข้าร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 โดยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ถูกบังคับให้มีพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่สามารถร่วมดำเนินโครงการได้ในฐานะผู้ผลิตคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินโครงการ และในปี พ.ศ. 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. หรือ Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization :TGO) ภายใต้กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

วัตถุประสงค์หลักในการจัดตั้ง ก็เพื่อวิเคราะห์ กลั่นกรอง และออกความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด รวมทั้งติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับคำรับรอง ส่งเสริมการพัฒนาโครงการ และการตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง

เป็นศูนย์กลางข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่ได้รับคำรับรอง และการขายปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) ที่ได้รับการรับรอง ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ รวมถึงให้คำแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยจะเป็นศูนย์กลางในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ

ตลาดกลางสำหรับการขาย ทำหน้าที่คล้ายศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยน

ตลาดคาร์บอนเครดิต เป็นตัวกลางที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม โดยการนำสินค้าที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตมาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน ที่ทำให้เครื่องมือทางการตลาด (Market Mechanism) สำหรับการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมสามารถบรรลุผลได้จริง

นั่นหมายถึงการจัดตั้งและดำเนินการตลาดคาร์บอนเครดิต ในการกำหนดราคาบนพื้นฐานของการคำนึงถึงปริมาณการปล่อยมลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการตระหนักและให้ความสำคัญกับต้นทุนทางสังคมที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประชาชนต้องแบกต้นทุนเหล่านี้ด้วย ท้ายที่สุดแล้วตลาดคาร์บอนเครดิตเป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ลงทุนหรือองค์กรที่มีเป้าหมายตรงกันด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม

ตลาดคาร์บอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Carbon Market) ถูกจัดตั้งขึ้นจากผลบังคับในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมาย มีกฎหมายและกฎระเบียบที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและรายละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายกำกับอย่างชัดเจน ซึ่งต้องมีรัฐบาลออกกฎหมายและเป็นผู้กำกับดูแลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผู้ที่เข้าร่วมในตลาดจะต้องมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Legally Binding Target) หากผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะถูกลงโทษ และ/หรือ ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะสามารถได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการบัญญัติกฎหมาย
  2. ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมก๊าซเรือนกระจกมาบังคับ การจัดตั้งตลาดเกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของผู้ประกอบการหรือองค์กรเพื่อเข้าร่วมซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดด้วยความสมัครใจ โดยอาจจะมีการตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองโดยสมัครใจ (Voluntary) แต่ไม่ได้มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Non-legally Binding Target) กล่าวคือ กรณีที่องค์กรใดที่สมัครใจดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการดังกล่าวสามารถนำมาขายในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ และองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมเกินกว่าปริมาณที่กำหนด สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตดังกล่าวเพื่อทำให้ตนเองได้รับสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมอีกครั้งในปริมาณที่ไม่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด

สถานการณ์ตลาดคาร์บอนในประเทศไทย ปัจจุบันมีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีการขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 อยู่ในรูปแบบตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ภายใต้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ TGO เป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER)

คาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากโครงการดังกล่าว จะเรียกว่า เครดิต TVERs สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsetting) ผ่านปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) ทั้งในระดับองค์กร ผลิตภัณฑ์ อีเว้นท์ ซึ่งปัจจุบันการขายคาร์บอนเครดิตยังเกิดขึ้นไม่มาก สำหรับผู้ที่สนใจในรายละเอียดที่มากกว่านี้สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://carbonmarket.tgo.or.th/

พลิกมุมมองภาคการเกษตรกรรมยุคใหม่ แถมนำเครดิตออกขาย

เกษตรกรรมมีบทบาทที่ซับซ้อนต่อการเกิดภาวะโลกร้อน โดยเป็นทั้งแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นแหล่งสะสมคาร์บอน (carbon sink, carbon storage, carbon sequestration) กิจกรรมทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกจากนาข้าวและพื้นที่ปศุสัตว์

ส่วนการเป็นแหล่งสะสมคาร์บอนในพื้นที่เกษตรหมายถึงการเก็บสะสมคาร์บอนในพืชและในดินผ่านกิจกรรมการเกษตรต่างๆ เช่น การปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ การปรับปรุงดินโดยใช้วัสดุอินทรีย์หรือวัสดุที่มีคาร์บอนสูง และการส่งเสริมระบบวนเกษตร รวมไปถึงการลดกิจกรรมที่เร่งการทำลายคาร์บอนในดิน โดยเฉพาะการเผาเศษซากพืชในพื้นที่เพาะปลูก

การลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรมเป็นแนวทางที่ประชาคมโลกกำลังให้ความสนใจเนื่องจากเป็นแนวทางที่มีศักยภาพเชิงต้นทุน (คุ้มค่าในการลงทุน) อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคกิจกรรมอื่นๆ เช่น ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง และภาคป่าไม้ เป็นต้น และยังมีแนวโน้มจะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว (long-term climate objectives) ได้อีกด้วย

ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ด้วยความที่ประเทศเราไม่ได้บังคับทำให้ภาพของการขายเครดิตนั้นยังไม่ชัดเจน แต่เราก็ยังตั้งความหวังว่าเรื่องของ Carbon Credit นั้นจะถูกยกระดับความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะมันคือหนึ่งในกลไกที่จะช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ หันมาให้ความร่วมมือกันช่วยโลกได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

 

สำหรับท่านที่ชอบและติดตามวงการ พลังงานและความยั่งยืน คุณสามารถติดตามข่าวสารและบทความที่เกี่ยวข้อง ได้ทาง ช่องทางนี้

Related Articles