พูดกันมามากพูดกันมานานถึงโทษของน้ำตาลในฐานะที่เป็นตัวตั้งต้นของสารพัดโรคร้าย ไม่เพียงโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง หลอดเลือดตีบ ฯลฯ แต่ยังมีรายงานการศึกษาไม่น้อยที่บ่งชี้ว่า…
การที่ร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป ไม่เพียงเพิ่มห่วงยางรอบเอว แต่ยังนำมาซึ่งริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและภาวะแก่ก่อนวัยของเซลล์ในร่างกาย!
ความหวานที่เย้ายวน
ยิ่งอากาศร้อน ร่างกายสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อจำนวนมาก เครื่องดื่มหวานๆ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เรียกพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
แต่-แต่…กาแฟเย็น 1 แก้ว ขนาด 600 มล. ใส่น้ำตาลโดยเฉลี่ย 10 ช้อนชา!
ขณะที่นมเย็นมีปริมาณน้ำตาล 12 ช้อนชา แดงโซดา 16 ช้อนชา ชานมไข่มุก / ชาเขียว / ชาเย็น / โกโก้ มีน้ำตาล 11 ช้อนชา ส่วนโอวัลตินมีน้ำตาล 13 ช้อนชา โดยประมาณ
มีรายงานการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า คนไทยดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลโดยเฉลี่ยวันละกว่า 3 แก้ว โดยเฉพาะเด็กอายุ 6 -14 ปี เป็นกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลเฉลี่ยต่อสัปดาห์มากที่สุด
ไม่น่าแปลกใจที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย พบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยวันละ 25 ช้อนชา มากกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ถึงกว่า 4 เท่า!
ยิ่งหวานมากยิ่งแก่เร็ว

การบริโภคปริมาณน้ำตาลที่มากเกินส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพ ไม่เพียงบรรดาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย (NCDs) การศึกษาวิจัยยังพบว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงมีความสัมพันธ์กับการเกิดริ้วรอยและแก่ก่อนวัย ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะแค่เซลล์ผิวหนังเท่านั้น แต่ภาวะแก่ก่อนวัยดังกล่าวยังเกิดขึ้นกับเซลล์อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราด้วย
กล่าวคือ น้ำตาลเมื่อถูกดูดซึมเข้าไปอยู่ในกระแสเลือด ไม่ว่าจะในรูปของน้ำตาลกลูโคส หรือ ฟรุกโตส ถ้ามีปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายจะสามารถนำไปใช้ได้หมด น้ำตาลส่วนเกินที่เหลือจะทำปฏิกิริยา “ไกลเคชัน” (Glycation) กับโครงสร้างโปรตีน ไขมัน ดีเอ็นเอ และเกิดเป็นสารที่ชื่อว่า “AGEs” ซึ่งทำให้โครงสร้างของคอลลาเจนทั่วร่างกายเกิดการผิดรูปและเสียการทำงานไป ทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำผิวแห้งกร้าน และดูแก่ก่อนวัยตามมา
ดร.ถาวรีย์ ถิละเวช ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงความสัมพันธ์ของน้ำตาลกับภาวะแก่ก่อนวัยว่า ผิวหนังของคนเรามีโปรตีนคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นองค์ประกอบหลักอยู่รวมกันเป็นลักษณะโครงข่ายช่วยให้ผิวของเรามีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ซึ่งโดยทั่วไปการสะสมของ AGEs บริเวณผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุอยู่แล้ว
แต่การบริโภคบริมาณน้ำตาลมากเกินเป็นการเร่งกระบวนการดังกล่าวให้โปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ และสะสมอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ส่งผลให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง เกิดการหย่อนคล้อย
ลดน้ำตาล ลดโรค-ชะลอวัย
AGEs ยังสามารถกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระและสารก่อการอักเสบ ซึ่งทำลายเซลล์ผิวหนังและยับยั้งกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่
น้ำตาลเกี่ยวข้องภาวะการแก่ของเซลล์อื่นๆ ในร่างกายด้วย โดยตัวบ่งชี้ที่สำคัญของภาวะเซลล์แก่คือความยาวของเทโลเมียร์ (Telomeres) ซึ่งอยู่ที่บริเวณปลายสุดของโครโมโซม ทำหน้าที่ป้องกันสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ที่อยู่ในโครโมโซมจากการถูกทำลาย โดยทั่วไปความยาวของเทโลเมียร์ในแต่ละคนจะแตกต่างกันและแปรผกผันกับอายุ กล่าวคือยิ่งอายุมากขึ้นเทโลเมียร์ยิ่งสั้น และเป็นสาเหตุให้เซลล์เกิดความผิดปกติ
น่าสนใจว่า ในปี 2014 มีรายงานการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเครื่องดื่มรสหวานกับความยาวของเทโลเมียร์ในผู้บริโภค 5,309 คน ที่ดื่มเครื่องดื่มหวานเป็นประจำ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำอัดลมมีแนวโน้มที่จะมีขนาดของเทโลเมียร์หดสั้นลง ในขณะที่กลุ่มที่ดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น 100% มีแนวโน้มของขนาดเทโลเมียร์ที่ยาวกว่า
แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่สามารถบ่งชี้ถึงการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงที่อาจส่งผลต่อความยาวของเทโลเมียร์อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติสามารถลดการเกิด AGEs ในโปรตีนคอลลาเจนได้ถึง 25% ภายในเวลา 4 สัปดาห์
การปรับพฤติกรรมโดยลดการบริโภคน้ำตาล จึงไม่เพียงลดความเสี่ยงการเกิดโรค ยังช่วยชะลอวัยด้วย ซึ่งเมื่อสุขภาพดีสิ่งดีๆ ก็จะตามมา.
Image by FreePik