ใครจะคิดว่าการรับสเปิร์มบริจาคจะนำมาซึ่งโรคร้าย!

Share

 

หยิบประเด็นนี้มาเล่าสู่กันฟังเพราะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ทุกวันนี้การจะมีลูกสักคนไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีความพร้อม ทางเลือกหนึ่งคือ การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ivf ในต่างประเทศสาวโสดที่อยากมีบุตรยังสามารถใช้บริการผ่านทางธนาคารสเปิร์มหรือศูนย์เจริญพันธุ์ ซึ่งปีหนึ่งมีจำนวนไม่น้อย

ทว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกกลมๆ ใบนี้…

ล่าสุด รายงานข่าวจากประเทศอังกฤษพบว่ามีเด็กๆ ราว 50 ราย ป่วยเป็นโรคมะเร็งระบบเลือดโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะพบว่าเด็กทั้ง 50 รายมีสิ่งที่ร่วมกันคือ กำเนิดจากอสุจิบริจาคของผู้ชายคนเดียวกัน!

น่าสนใจว่า ก่อนหน้านี้โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมียในด็กยังไม่ทราบสาเหตุการก่อโรค ทั้งไม่มีสัญญาณบ่งชี้ล่วงหน้า ไม่มีระยะก่อโรค จะทราบก็เมื่อเป็นแล้วเท่านั้น ซึ่ง 90% เป็นแบบเฉียบพลัน กรณีเด็ก 50 รายที่ป่วยเป็นมะเร็งเป็นการยืนยันว่า มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดผ่านทางพ่อหรือแม่ โดยที่ยีนกลายพันธุ์นี้ไม่แสดงอาการในผู้ถ่ายทอดคือพ่อหรือแม่

แน่นอนว่า เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าสเปิร์มหรืออสุจิตัวไหนเป็นพาหะของดีเอ็นเอกลายพันธุ์

อีกทั้งเป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ที่แตกต่างจากมะเร็งอื่น อย่าง มะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถเฝ้าระวังล่วงหน้าได้

ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กและในผู้ใหญ่แม้เรียกชื่อเดียวกัน แต่ต่างชนิดกัน มะเร็งเม็ดเลือดในผู้ใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีนหลายขั้นตอนและใช้เวลายาวนานในการก่อโรค จึงพบว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่จะเป็นมากที่สุดอายุ 45-50 ปี จนถึง 60 ปี แต่ในเด็กจะเป็นกันมากใน 5 ขวบปีแรก เพราะได้รับยีนกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่เกิด

แวะไปโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ศูนย์เฉพาะทางดูแลเด็กภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในไทย ขอความรู้จาก ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งมากว่า 20 ปี ได้รับการรับรองจาก American Board ด้านโลหิตวิทยา/มะเร็งวิทยาในเด็ก

อาจารย์หมอสุรเดช ยืนยันว่า 3 ใน 4 ของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กสามารถหายขาดได้ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน ด้วยกระบวนการรักษาที่วันนี้เป็นการรักษาแบบมุ่งเป้า ใช้ T-cell เข้าไปจัดการเฉพาะกับเซลล์มะเร็ง

“การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนใหญ่จะใช้ยาเคมีบำบัด แต่ในกรณีที่ดื้อยารักษาไม่หาย ซึ่งจะมีราว 30% ของผู้ป่วยจะใช้ CAR T-Cell เพื่อให้โรคสงบ จากนั้นจึงทำการปลูกถ่ายไขกระดูก”

แล้ว CAR T-Cell คืออะไร?

T-Cell คือชนิดของเม็ดเลือดขาวที่สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน แต่เดิมการรักษาด้วย T-Cell ต้องพึ่งพาห้องปฏิบัติการในต่างประเทศ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทีมแพทย์ไทยจึงร่วมกันทำวิจัยและคิดค้นแนวทางการรักษาร่วมกับภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Cell Therapy และ Gene Therapy โดยใช้ห้องปฏิบัติการของไทย ให้ผลการรักษาดีกว่ากระบวนการรักษาเดิมถึง 70% นับเป็นผลงานของคนไทยที่ได้มาตรฐานสากลแห่งแรกในอาเซียน อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังถูกลงกว่าการนำเข้า 5-10 เท่า

แนวทางการรักษาของโรงพยาบาลสมิติเวชเป็นการรักษาตามพันธุกรรมไขกระดูกของเซลล์มะเร็ง มีการตรวจพันธุกรรมอย่างละเอียดแบบ Personalized Medicine โดยนำเซลล์ของผู้ป่วยมาตัดต่อพันธุกรรมในห้องแล็บก่อนจะฉีดกลับเข้าไปให้ผู้ป่วยเพื่อไปกำจัดเซลล์มะเร็ง กระบวนการนี้เรียกว่า CAR (Chimeric antigen receptor) T-Cell

ขณะเดียวกัน การปลูกถ่ายไขกระดูกปกติผู้บริจาคต้องเป็นพี่น้องที่มีเม็ดเลือดตรงกัน แต่ปัจจุบันประเทศไทยสามารถใช้ไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดของผู้บริจาคจากสภากาชาดไทยที่มีในคลังราว 3-4 แสนราย นอกจากนี้ยังมีการปลูกถ่ายกระดูกแบบ Haploidentical ใช้ไขกระดูกจากพ่อหรือแม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการปลูกถ่ายไปแล้วทั้งหมด 350 ราย

“ด้วยกระบวนการรักษาดังกล่าว ที่มีทั้งการปลูกถ่ายไขกระดูกแบบ Haploidentical และยังมี CAR T-Cell ผู้ป่วยจึงมั่นใจที่จะเข้ามาใช้บริการรับการรักษามะเร็งระบบเลือดที่นี่ ซึ่งไม่เพียงมะเร็งเม็ดเลือดขาว ยังใช้ได้กับธาลัสซีเมีย รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีกด้วย”

ปัจจุบันจึงมีผู้ป่วยมะเร็งเด็กเข้ามาใช้บริการในไทยเป็นจำนวนมาก โดยเป็นเด็กชาวต่างชาติมากถึงครึ่งต่อครึ่ง ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง บอกว่า การรักษาที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับจากต่างประเทศก็ประเด็นหนึ่ง ที่สำคัญคือ เรามีนวัตกรรมการรักษาที่เป็นของเราเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และนับเป็นครั้งแรกที่มีการจับมือร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลที่ชำนาญการด้านการรักษากับสถาบันการศึกษาที่ทำงานด้านการวิจัยอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล นำเอางานวิจัยมาต่อยอดใช้จริงในภาคปฏิบัติ โดยนวัตกรรมนี้มีการจดสิทธิบัตรได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการแล้ว

นี่คือกระบวนการรักษาที่ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทยโดยแท้ ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมการแพทย์ไทยแลนด์ ที่ตอกย้ำว่า ไทยเราไม่ได้ด้อยกว่าใคร.

rabbit2themoon

rabbit2themoon

คอลัมนิสต์หน้าไม่ใหม่ เคยพำนักอยู่ใต้ชายคามติชน ประจำกอง บก.นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ก่อนขยับมาเป็นผู้สื่อข่าวเซ็กชั่นประชาชื่น เขียนสัมภาษณ์บุคคล-สกู๊ปเชิงไลฟ์สไตล์-ท่องเที่ยว-อาหาร-จิปาถะ สถานะปัจจุบัน นอกจากเป็นคอลัมนิสต์ ยังเป็นนักเขียนอิสระ เขียนบทความเชิงประชาสัมพันธ์

Related Articles