…ว่ากันว่าแค่ชงน้ำผสมผงอบเชยดื่มขณะท้องว่าง ก็ช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้แล้ว!?!
แวดวงคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมน้ำหนักแต่ยังมีความสุขกับการได้กินของอร่อยถึงกับตาวาวเมื่อทราบถึงคุณสมบัติอันสุดแสนวิเศษของ “อบเชย” ที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติ “อบเชย” จึงกลายเป็นอีกตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ อ้างอิงจากงานวิจัยกว่า 30 ชิ้น ที่กล่าวถึงข้อดีของอบเชยว่า ไม่เพียงช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ยังช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวเป็นที่ทราบและยอมรับกันมานานในแวดวงคนศึกษาสมุนไพร
แต่-แต่อย่าชะล่าใจ ล่าสุดมีการเปิดเผยงานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้อบเชยเพื่อควบคุมน้ำหนักว่า อบเชยไม่ใช่คำตอบไปเสียทั้งหมด!
หมายความว่า ถ้าใช้ในปริมาณที่มากเกินไป (ซึ่งไม่ควรเกินวันละ 1 ช้อนชา) ใช่ว่าจะช่วยให้ผอมลง เอวเอสในพริบตา เพราะอบเชยไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาลึกลงไปในระดับโครงสร้าง หรืออาจพูดง่ายๆ ว่าช่วยในระดับหน้างานเท่านั้น
รู้จัก “อบเชย”
“อบเชย” (Cinnamon) เป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ มีฤทธิ์อุ่นร้อน ได้มาจากเปลือกของต้นไม้ตระกูล Cinnamomum ใช้มาตั้งแต่สมัยอียิปต์ ได้รับยกย่องว่าเป็นของขวัญที่เหมาะสำหรับเหล่าทวยเทพและกษัตริย์
อบเชยมีหลายชนิด มักจะเรียกตามแหล่งเพาะปลูก เช่น อบเชยจีน อบเชยลังกา อบเชยญวน เป็นต้น เรามักจะคุ้นเคยกับอบเชยจากร้านกาแฟที่โรยมาเป็นผงเบาๆ บนฟองนม บางร้านจะเสิร์ฟแท่งอบเชยให้ใช้เสมือนเป็นไม้คนกาแฟ ช่วยเพิ่มความเข้มของรสชาติและความหอมของกาแฟให้ชวนเสน่ห์ไปอีกแบบ
อบเชยมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์ และกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด ประเด็นหลักที่จะกล่าวต่อไปแล้ว อบเชยยังช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปากและน้ำตาล อันเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก ฯลฯ
“อบเชย” ไม่ใช่พระเจ้า!
กลายเป็นดาวเด่นในชั่วเวลาไม่นานเมื่อมีการเผยแพร่ประโยชน์ของอบเชยผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในแง่ของการช่วยเผาผลาญไขมัน งานวิจัย 35 ชิ้นระบุว่า การรับประทานอบเชยในปริมาณที่ต่ำกว่า 1.5 กรัม หรือประมาณครึ่งช้อนชาต่อวัน สามารถลดไขมันรอบเอวได้ 0.66 นิ้ว
รวมทั้งช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เพราะมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ดึงเอาน้ำตาลในเลือดไปใช้ ปัจจุบันจึงมีการใช้อบเชยในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์และคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก
น่าสนใจว่า เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลการทดลองทางคลินิกทั้ง 21 ครั้ง กับอาสาสมัคร 1,480 คน พบว่า อบเชยช่วยลดดัชนีมวลกาย (BMI) 0.40 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และลดน้ำหนักตัว 0.92 กิโลกรัม แต่ผลที่ได้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของไขมันหรือมวลกล้ามเนื้อของอาสาสมัครแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาที่ตัวอาสาสมัครมีข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่เป็นคนจากตะวันออกกลางหรืออนุทวีปอินเดีย ทั้งระยะเวลาในการศึกษาวิจัยยังมีความแตกต่างกันตั้งแต่ 2 เดือนไปจนถึง 6 เดือน ปริมาณการรับประทานอบเชยมีตั้งแต่ 0.36 กรัม ถึง 10 กรัมอีกด้วย ฉะนั้นจึงยังไม่ควรสรุปผลอย่างเบ็ดเสร็จ
หมายความว่า การใช้อบเชยเพื่อการลดน้ำหนักอาจได้ผลจริง แต่ไม่มากอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต อาทิ ควบคุมการบริโภคอาหารให้พอเหมาะ พักผ่อนให้พอเพียง ที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นั่นเพราะอบเชยเป็นแค่ “ตัวช่วย” เท่านั้น.
สำหรับผู้ที่ชื่อชอบงานเขียนของ Rabbit2TheMoon สามารถอ่านเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้าได้ ที่นี่