ผู้เชี่ยวชาญของแคสเปอร์สกี้กล่าวถึงกรณีกรณีที่มีการนำการสแกนม่านตาไปใช้เพื่อแลกกับสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ไม่นานมานี้ สคส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้หารือเกี่ยวกับกรอบกฎหมายสำหรับข้อมูล Biometric data
ไบโอเมตริกซ์เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
ปัจจุบันสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์และคอมพิวเตอร์องค์กรหลายรุ่นมีเครื่องสแกนลายนิ้วมืออยู่แล้ว ในกลุ่มผู้ใช้เองก็มีใช้แอปพลิเคชันการจดจำใบหน้าอย่างแพร่หลายเช่นกัน ลักษณะไบโอเมตริกซ์อื่นๆ ที่มีการใช้งานแต่ว่าแพร่หลายน้อยกว่า ได้แก่ ม่านตา เส้นเลือดและลายนิ้วมือบนฝ่ามือ เรตินา รวมถึงดีเอ็นเอ ข้อมูลไบโอเมตริกซ์แตกต่างจากระบบยืนยันตัวตนทั่วไปตรงที่มีลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล จึงไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยกลวิธีทางวิศวกรรมสังคมทั่วไป นอกจากนี้ การมองกล้องเพื่อดำเนินการยังมีประสิทธิภาพมากกว่าการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบด้วยตนเอง หรือเสี่ยงต่อการจัดเก็บข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัย
ข้อมูลไบโอเมตริกซ์รั่วไหลอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย
ข้อมูลไบโอเมตริกซ์เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับใช้เป็นชื่อผู้ใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะข้อมูลไบโอเมตริกซ์นั้น อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อบุคคลและธุรกิจ และทำให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนตกอยู่ในมืออาชญากรไซเบอร์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมที่เป็นอันตรายต่างๆ ได้ เช่น การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลและการฉ้อโกงทางการเงิน ที่สำคัญคือข้อมูลไบโอเมตริกซ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนได้ การรั่วไหลอาจส่งผลให้ความเป็นส่วนตัวของบุคคลสูญหายไปอย่างถาวร
อุตสาหกรรมไบโอเมตริกซ์เป็นโครงสร้างพื้นฐาน OT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด
งานวิจัยของแคสเปอร์สกี้ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลไบโอเมตริกซ์มีความเสี่ยงที่จะถูกละเมิด ด้วยพบว่าภาคส่วนไบโอเมตริกซ์เป็นอุตสาหกรรมมีสัดส่วนคอมพิวเตอร์ ICS ที่พบและบล็อกวัตถุอันตรายมากที่สุด โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 คอมพิวเตอร์ในกลุ่มไบโอเมตริกซ์จำนวน 28.1% ประสบกับภัยคุกคามไซเบอร์ ตามมาด้วยภาคระบบอัตโนมัติในอาคาร (25%) และพลังงานไฟฟ้า (22.8%)
เฮง ลี หัวหน้าฝ่ายกิจการรัฐบาลและนโยบายสาธารณะประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ไบโอเมตริกซ์เป็นวิธีการยืนยันตัวตนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ การผสมผสานลายเซ็นทางกายภาพหรือทางพฤติกรรมให้ใช้ร่วมกับการยืนยันตัวตนแบบอื่นๆ ถือเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งอย่างน้อยที่สุดในขณะนี้ก็นับว่าดีกว่าการใช้รหัสผ่านแบบตัวอักขระที่เป็นการยืนยันตัวตนแบบสแตนด์อโลน
“เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์นั้นเป็นวิธีการด้านความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แม้จะมีความเสี่ยงอยู่แต่ระบบเหล่านี้ก็สะดวกและทำซ้ำได้ยาก อีกทั้งระบบเหล่านี้ก็จะยังคงพัฒนาต่อไปอีกนานในอนาคต” เฮง ลี กล่าว
วิธีปกป้องข้อมูลระบุตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์
การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้คุกคามจะยากขึ้นเมื่อระบบต้องการการยืนยันตัวตนหลายช่องทาง แคสเปอร์สกี้แนะนำแนวทางเพื่อใช้ประโยชน์จากความสะดวกของข้อมูลระบุตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์ พร้อมกับลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานให้น้อยที่สุด ดังนี้
- ไม่พึ่งพาข้อมูลระบุตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์เพียงอย่างเดียว: ควรใช้ข้อมูลระบุตัวตนร่วมกับรหัสผ่านที่คาดเดายาก หรือวิธีการยืนยันตัวตนอื่นๆ เช่น การยืนยันตัวตนแบบสองปัจจัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ: ตรวจสอบว่าอุปกรณ์รองรับการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือและใช้งานได้
- ความปลอดภัยทางกายภาพของอุปกรณ์: มาตรการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพก็มีความสำคัญเช่นกันเพื่อป้องกันการเข้าถึงอุปกรณ์และข้อมูลระบุตัวตนแบบไบโอเมตริกซ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
- โมบายดีไวซ์: พิจารณาใช้ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า และรหัสผ่านที่คาดเดายากร่วมกันเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- การปรับเปลี่ยนเฟิร์มแวร์: ให้ระมัดระวังเมื่อเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ถูกปรับเปลี่ยน เนื่องจากการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมืออาจไม่ปลอดภัย
- การอัปเดตเป็นประจำ: ตรวจสอบว่าอุปกรณ์และแอปทั้งหมดได้รับการอัปเดตแล้ว เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากแพตช์ความปลอดภัยล่าสุด
- ติดตั้งโซลูชันความปลอดภัยที่เชื่อถือได้: Kaspersky Premium มีเทคโนโลยีในตัวที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องกิจกรรมทางการเงินออนไลน์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้
- ใช้แอปจัดการรหัสผ่าน: จัดเก็บรหัสผ่านแบบดั้งเดิมใน Kaspersky Password Manager เพื่อเสริมการป้องกันเพิ่มเติม