ธุรกิจไทยต้องก้าวข้าม Comfort Zone มุ่งสู่โซลูชันพลังงานขั้นสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

Share

 

เอสพี กรุ๊ป ชี้ว่า การนำเทคโนโลยีพลังงานขั้นสูงมาใช้จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาว เพิ่มผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ

แม้ว่าธุรกิจไทยกว่า 95% จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการนำโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนมาใช้ในองค์กร อีกทั้งยังมีธุรกิจอีกถึงกว่า 86% ที่เริ่มมีการนำโซลูชันเหล่านี้ไปใช้จริงแล้ว แต่จากการศึกษาล่าสุด พบว่าโซลูชันพลังงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังจัดอยู่ใน “Comfort Zone” ซึ่งเป็นการลงทุนที่แม้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ส่งผลลัพธ์เพียงแค่ในระยะสั้น โดยตัวอย่างของโซลูชันที่จัดอยู่ในหมวด Comfort Zone อาทิ การเปลี่ยนหลอดไฟในองค์กรให้เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน หรือการทำโครงการรีไซเคิลแบบทั่วไป

งานศึกษาชิ้นนี้มีชื่อว่า “Unlocking Thailand’s Sustainable Energy Future” ซึ่งจัดทำโดย เอสพี กรุ๊ป กลุ่มสาธารณูปโภคชั้นนำและผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนในเอเชียแปซิฟิก ที่นำเสนอแนวทางที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพในการใช้พลังงานให้กับธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเพิ่มผลสัมฤทธิ์ด้านความยั่งยืนให้กับองค์กรต่าง ๆ

การศึกษาดังกล่าวได้จำแนกรูปแบบการใช้โซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทยออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

“Comfort Zone” คือ การใช้โซลูชันพลังงานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป มีความเสี่ยงต่ำ และมอบผลลัพธ์ที่เป็นประจักษ์ในทันที หรือมอบผลลัพธ์ในระยะสั้นเท่านั้น

“Stretch Zone” คือ การใช้โซลูชันพลังงานแบบบูรณาการหลายภาคส่วน มีความซับซ้อน แต่สามารถมอบผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาวได้
โซลูชันในหมวด “Stretch Zone” นั้น มีตัวอย่างสำคัญเช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานระบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบพลังงานอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI และแพลตฟอร์มพลังงานหมุนเวียนที่บูรณาการแบบครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่าการประยุกต์ใช้โซลูชันดังกล่าว ยังถูกใช้ในวงที่จำกัด จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งการขาดความเชี่ยวชาญทางเทคนิค (73%) ความไม่มั่นใจในผลลัพธ์ (64%) และความเชื่อว่าโซลูชันดังกล่าวจะมีต้นทุนในการติดตั้งที่สูง (45%) ทั้งนี้ธุรกิจใดที่สามารถก้าวสู่ Stretch Zone ได้นั้น ก็จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว และสามารถวางตำแหน่งองค์กรของตนให้อยู่ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้

แบรนดอน เชีย กรรมการผู้จัดการด้านโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยได้วางเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในปี 25801 งานศึกษาชิ้นนี้ช่วยนำเสนอข้อมูลสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน ผลการศึกษายังสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสของภาคธุรกิจไทยในการก้าวข้ามความสำเร็จระยะสั้น เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ ธุรกิจที่เริ่มลงทุนในโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูง จะสามารถยกระดับองค์กรของตนเองให้มีความยืดหยุ่น ลดต้นทุนการดำเนินงาน และคงความความเป็นผู้นำภายใต้สังคมและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้ในระยะยาว

ปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ช่วยธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ “Stretch Zone”

 

การพัฒนาขีดความสามารถ – การจัดโปรแกรมฝึกอบรม โดยเฉพาะโปรแกรมที่เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นระบบพลังงานที่ใช้ AI หรือ IoT (Internet of Things)

ความเป็นผู้นำของภาคเอกชน – ธุรกิจสามารถเป็นผู้นำร่องการนำโซลูชันนวัตกรรมขั้นสูงในองค์กร เพื่อทดสอบศักยภาพในการสร้างกำไรและเสริมสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์

การสนับสนุนเชิงนโยบายและการขยายความร่วมมือ – ภาครัฐควรมีการปรับปรุงข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจที่ต้องการหันมาใช้เทคโนโลยีพลังงานขั้นสูง นอกจากนี้ ภาคส่วนต่าง ๆ ยังควรเร่งขยายกรอบความร่วมมือระหว่างกันเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ไปพร้อมกัน

การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ – ธุรกิจควรร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานที่มีประสบการณ์ทั้งในด้านการออกแบบ ติดตั้ง และดูแลรักษาระบบพลังงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนภายในปี พ.ศ. 2580 งานศึกษาชิ้นนี้ได้ตอกย้ำว่า ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องก้าวออกจาก “Comfort Zone” โดยธุรกิจที่เริ่มต้นก่อนจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้สูงสุดทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

เอสพี กรุ๊ป ร่วมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2565 โดยร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศหลายภาคส่วน อาทิ Banpu NEXT, Betagro, Malee Group และมหาวิทยาลัยรังสิต บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการให้บริการโซลูชันด้านพลังงานแบบครบวงจร ทั้งระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ ระบบพลังงานหมุนเวียน ระบบโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบควบคุมการใช้พลังงานแบบดิจิทัล ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีระบบการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความคุ้มค่าในระยะยาว

Related Articles