ร่วมค้นพบเสน่ห์แห่งเรือนเวลาจากคาร์เทียร์ พร้อมถอดรหัสการรังสรรค์กลไกนาฬิการุ่นไอคอนิคของเมซง

Share

 

นาฬิกาข้อมือนับเป็นหนึ่งในแอคเซสซอรี่ชิ้นสำคัญ ประโยชน์พื้นฐานมีเพื่อใช้บอกเวลาหรือเป็นเครื่องประดับเสริมลุค และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่นาฬิกากลายเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนที่สามารถส่งต่อเป็นสมบัติจากรุ่นสู่รุ่นได้  จึงไม่แปลกที่เทรนด์การซื้อนาฬิกาข้อมือจึงได้รับความนิยมในยุคปัจจุบันอย่างสูง และสำหรับหลายคนที่อยากจะเริ่มซื้อนาฬิกาข้อมือสักเรือนแต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี คาร์เทียร์มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับนาฬิกาข้อมือมาแบ่งปันว่ามีรูปแบบใดบ้างและแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร

นาฬิกาข้อมือนั้นถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป โดยมีกลไกลการทำงานหลักๆ 2 แบบ ได้แก่ กลไกจักรกล (Mechanical Movement) และกลไกลควอตซ์ (Quartz Movement) นาฬิการะบบ Mechanical Movement หรือระบบนาฬิกาแบบจักรกล อาศัยการไขลานสปริงเป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อบอกเวลากับผู้ใช้งาน นอกจากนั้นยังมีนาฬิกาสเกเลตันที่ดีไซน์เหนือชั้นด้วยการออกแบบที่มีความซับซ้อนและโชว์ความสวยงามจากความโปร่งใสของกลไก เพื่อโชว์ศาสตร์และศิลปะชั้นสูงของการจัดวางชิ้นส่วนต่างๆของช่างนาฬิกา ทำให้นาฬิกาข้อมือระบบกลไลจักรกลนั้นเหมาะทั้งสำหรับสวมใส่ในทุกวันและเหมาะกับการสะสมและเพื่อการลงทุนเช่นกัน โดยนาฬิกากลไกจักรกลยังถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภท ได้แก่ระบบ Automatic ที่ขับเคลื่อนผ่านจานเหวี่ยงในขณะที่สวมใส่และระบบ Manual ที่ขับเคลื่อนผ่านการหมุนเม็ดมะยมข้างตัวเรือน

นาฬิการะบบ Quartz movement (กลไกควอตซ์) เป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้แบตเตอรี่ในการทำงานเพื่อให้นาฬิกาเดินเวลาได้ โดยระบบนาฬิกา Quartz มีข้อดี คือดูแลรักษาง่าย และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลที่ต่ำกว่า นอกจากนั้น ในส่วนของนาฬิกาข้อมือยังแบ่งการแสดงเวลาออกได้เป็น 2 แบบ คือ แบบที่ใช้ตัวหมุนเข็มนาฬิกาเพื่อให้เดินบอกเวลา และแบบแสดงเวลาผ่านระบบตัวเลขดิจิทัลบนหน้าปัดแบบ LCD หรือ LED อีกหนึ่งกลไกของนาฬิการะบบ ควอตซ์ จากคาร์เทียร์ที่โดดเด่น ได้แก่ระบบโซลาร์บีท™ (SolarBeat™) หรือนาฬิกาที่มีหน้าปัดที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (Photovoltaic Dial) สนับสนุนเรื่อง sustainability ลดการใช้แบตเตอรี่แบบใช้แล้วทิ้ง โดยอาศัยช่องว่างระหว่างเลขบอกเวลาโรมันบนหน้าปัด เปิดเป็นช่องให้พลังงานแสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้าสู่เซลล์แสงอาทิตย์ที่ซ่อนอยู่ใต้หน้าปัดเพื่อเก็บเป็นพลังงาน ระบบ ‘Photovoltaic Charging’ จะเป็นแหล่งพลังงานที่ควบคุมเวลาด้วยระบบควอตซ์ ขับเคลื่อนเข็มชั่วโมงกับนาทีให้บอกเวลาอย่างแม่นยำ

คาร์เทียร์มีประวัติศาสตร์การผลิตเรือนเวลาคุณภาพระดับโลกมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีทักษะความชำนาญในการรังสรรค์ชิ้นงานที่สง่างามเหนือกาลเวลาซึ่งสะท้อนถึงสไตล์ในแบบฉบับของเมซง โดยนำเสนอเทคโนโลยีเรือนเวลาที่มาพร้อมกับสุนทรียภาพ เกิดเป็นผลงานที่ยังคงความงดงามแม้เวลาล่วงเลยไปหลายทศวรรษ สำหรับคาร์เทียร์ รูปทรงคือจุดเริ่มต้นของการรังสรรค์เรือนเวลาทั้งหมด ทักษะความชำนาญด้านรูปทรงจึงเป็นตัวกำหนดการเลือกเทคนิค คาร์เทียร์ใช้ทักษะนี้เพื่อเนรมิตความงามของเรือนเวลา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเรือนเวลาของคาร์เทียร์ได้ทุ่มเทความสามารถเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์เพื่อคิดค้นและรังสรรค์นาฬิกาที่ผ่านการใส่ใจในทุกส่วนประกอบที่สำคัญไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ แรงผลักดันอันเป็นเอกลักษณ์นี้คือจุดเริ่มต้นของการรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์ ซึ่งผสานรวมศิลปะแห่งเครื่องประดับและศิลปะชั้นสูงของการรังสรรค์เรือนเวลาเข้าด้วยกัน

คาร์เทียร์ให้ความสำคัญกับการออกแบบเรือนเวลาในทุกๆ องค์ประกอบ โดยยึดหลักความแม่นยำของลวดลายกราฟิก นับตั้งแต่โลโก้คาร์เทียร์บนหน้าปัดนาฬิกาทุกรุ่น เข็มนาฬิกาสีน้ำเงินหรือสีดำที่ผลิตมาจากเหล็ก แถบบอกนาทีหรือ Minute Railtrack ที่มีดีไซน์มาจากรางรถไฟ ตัวเลขอักษรโรมันบนหน้าปัดที่มีเทคนิคอันเป็นเอกลัษณ์ทำให้ตัวเลขมีความนูน สร้างมิติให้กับหน้าปัด อีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นไม่แพ้ส่วนใดคือเม็ดมะยมดีไซน์เรียวยาวที่ทำมาจากแซฟไฟร์สีน้ำเงิน ที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่อสุนทรียะของเรือนเวลา หรือแม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุดอย่างโลโก้คาร์เทียร์ที่ซ่อนอยู่บริเวณเลข 7 หรือเลข 10 เป็นลูกเล่นให้ผู้คลั่งไคล้นาฬิกาได้ค้นหา นอกจากนี้หน้าปัดของนาฬิกาข้อมือคาร์เทียร์ยังมีเอกลักษณ์พิเศษ คือลาย Guilloché เทคนิคพิเศษในการสร้างเส้นสายแบบมิติที่เล่นกับแสงบนหน้าปัดนาฬิกา

การรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์คือการท้าทายรูปทรงต่างๆ อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็น สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงกลม หรือแม้แต่เส้นสายอันบริสุทธิ์ ดังจะเห็นได้จากเรือนเวลารุ่นไอคอนิกของคาร์เทียร์ ได้แก่ แทงก์ (Tank), ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier), ปองแตร์ เดอร์ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier), บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ (Ballon Bleu de Cartier), และพาช่า เดอร์ คาร์เทียร์ (Pasha de Cartier) เรือนเวลารุ่นไอคอนิกของคาร์เทียร์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรือนเวลาที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ดีไซน์โดดเด่นยากที่จะละสายตา ทรงคุณค่าและงดงามเหนือกาลเวลา

 

แทงก์ (Tank) ตำนานแห่งเรือนเวลาของคาร์เทียร์ เรือนเวลารุ่นแทงก์ได้จารึกความสง่างามของคาร์เทียร์ผ่านดีไซน์ที่คมชัดและเพรียวบาง นับตั้งแต่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) สร้างสรรค์เรือนเวลานี้โดยรับแรงบันดาลใจมาจากสี่เหลี่ยมผืนผ้าเมื่อปี ค.ศ. 1917 หลุยส์ คาร์เทียร์ เลือกหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำให้แทงก์โดดเด่นจากนาฬิกาข้อมือทั่วไปในยุคนั้นซึ่งมีหน้าปัดเป็นทรงกลม ทำให้แทงก์มีกลิ่นอายที่ล้ำสมัย อยู่เหนือกาลเวลามาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน เส้นตรงสองเส้นที่ขนาบข้างหน้าปัดนับเป็นเอกลักษณ์ของเรือนเวลารุ่นนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภาพมุมสูงของรถถัง โดยมีเอกลักษณ์เป็นคานสองชิ้นประกบเข้ากับตัวเรือนทรงเหลี่ยมดุจล้อรถและหอบังคับการ การประกอบตัวเรือนกับสายนาฬิกา ทำได้กลมกลืนเสียจนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อรักษาหัวใจหลักของแรงบันดาลใจที่น่าทึ่งนี้เอาไว้ แทงก์ ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นเรือนเวลาคู่ใจของบุคคลสำคัญมากมายจนมีคำกล่าวว่า การสวมใส่แทงก์ คือการประกาศตัวตน จนแทงก์กลายเป็นวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย ดั่งที่แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ศิลปินชื่อดังระดับโลกได้กล่าวไว้ว่า “ฉันไม่ได้ใส่แทงก์เพื่อดูเวลา อันที่จริงแล้วฉันไม่เคยไขลานนาฬิกาด้วยซ้ำ ฉันใส่แทงก์เพราะมันคือนาฬิกาที่ต้องใส่” นอกจากกลไกอัตโนมัติและระบบควอทซ์แล้ว แทงก์ มัสท์ (Tank Must) ยังมาพร้อมกับกลไกโซลาร์บีท™ (SolarBeat™) ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 16 ปี โดยเป็นเรือนเวลาแรกของคาร์เทียร์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้

เมื่อกล่าวถึงนาฬิกาคาร์เทียร์ นาฬิการุ่นแทงก์ มัสท์ (Tank Must) ถือว่าเป็นหนึ่งรุ่นที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นนาฬิกาที่ดีไซน์อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณของยุค 70 และ 80 ซึ่งได้มีการหยิบนำเอกลักษณ์เด่นของแทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ มาประยุคใช้กับสตีล เกิดเป็นศักยภาพเชิงสุนทรียะที่ยิ่งใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจให้ช่างผู้เชี่ยวชาญด้านนาฬิกาคาร์เทียร์ และเป็นพลังขับเคลื่อนการสำรวจเชิงสร้างสรรค์ให้เดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยแทงก์ มัสท์ รุ่นปี 2022 มาพร้อมกับหน้าปัดสีดำล้วนเคลือบแลกเกอร์มันวาว เรียบขรึมไร้กาลเวลาบนตัวเรือนสตีล เปี่ยมด้วยคาแรกเตอร์ที่แน่วแน่ ไร้การประนีประนอม

อีกหนึ่งนาฬิการุ่น Tank ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของคาร์เทียร์คือ แทงก์ อเมริแกน (Tank Américaine) และ แทงก์ ฟรองเซส์ (Tank Française) โดยทั้ง 2 รุ่นนี้มีความคลาสสิคที่แตกต่าง โดยรุ่นแทงก์ อเมริเกน ได้ถูกออกแบบในปี 1987 และเปิดตัวเมื่อปี  1989  ได้รับแรงบันดาลใจตลอดจนตัวเรือนทรงโค้งมนมาจาก Tank Cintrée แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่มาพร้อมสายแบบปรับความยาวได้ ที่สอดรับกับหัวบัคเกิลแบบพับได้อันโด่งดังซึ่งคาร์เทียร์ที่ได้ยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1910

ในขณะที่รุ่นแทงก์ ฟรองเซส์ มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1996 และได้รับการปรับโฉมใหม่ในปี 2023 นำเสนอการออกแบบผ่านความเรียบง่ายแต่ภูมิฐาน ความมีเสน่ห์สุดคลาสสิกที่สร้างความแตกต่าง และความสง่างามไร้กาลเวลา ผสมผสานกับความทันสมัยตามแบบฉบับของคาร์เทียร์อย่างลงตัว ซึ่งเป็นนาฬิกาที่สะท้อนความเชื่อมั่นในเชิงสร้างสรรค์ เฉกเช่นการกลับมาค้นพบเนื้อแท้ที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาของพลอยที่เจียระไนแล้วอีกครั้ง โดยเป็นการจับรูปทรงที่แหวกขนบของนาฬิกามาปรับเส้นสายหลักให้เรียบง่ายขึ้น ตัดทอนรายละเอียดการออกแบบที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อกลับคืนสู่จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน

ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier) คือนาฬิกาข้อมือที่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) สร้างสรรค์ขึ้นในปีค.ศ. 1904 เป็นพิเศษเพื่ออัลแบร์โต้ ซานโตส-ดูมงต์ (Alberto Santos-Dumont) สหายนักบินของหลุยส์ เพื่อให้ง่ายต่อการดูเวลาขณะที่ขับเครื่องบิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คาร์เทียร์ออกแบบนาฬิกาข้อมือที่มีหน้าปัดสี่เหลี่ยมในขณะที่ในยุคนั้นนาฬิกาพกมักมีทรงกลม และเป็นนาฬิการุ่นแรกสำหรับสุภาพบุรุษที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมพร้อมน็อตบนขอบตัวเรือนที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ซานโตสได้รับการออกแบบโดยยึดหลักแนวคิดเรื่องรูปทรง รสนิยมแบบเรียบง่าย ความถูกต้องของสัดส่วนและรายละเอียดที่ปราณีต สกรูที่มักถูกซ่อนไว้อยู่เสมอในเทคนิคการประกอบเรือนเวลาชั้นสูงก็กลับปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดและกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความสวยงามของคอลเลคชั่นในที่สุดคาร์เทียร์ไม่หยุดยั้งพัฒนาดีไซน์และฟังก์ชันกับบุคลิกใหม่ของซานโตสอยู่เสมอ ทว่ายังคงยืนหยัดในเอกลักษณ์ปรัชญาดั้งเดิม ซึ่งคือการสะท้อนจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของยุคสมัยปัจจุบัน

และในปี 2023 นี้ คาร์เทียร์ได้ยกระดับการรังสรรค์เรือนเวลา Santos-Dumont ไปอีกขั้นด้วยการนำกลไกจักรกลอัตโนมัติ 9629 MC แบบสเกเลตันที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษออกมาเปิดตัว ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงคอลเลคชั่นที่ตอบโจทย์ผู้คลั่งไคล้รูปลักษณ์ที่เรียบบางและงามสง่า แต่เป็นคอลเลคชั่นที่ถูกพัฒนาออกมาให้มีองค์ประกอบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier) จิวเวลรีวอทช์ของคาร์เทียร์ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1983 เป็นผลงานชิ้นเด่นของเมซงที่เป็นมากกว่างานศิลปะ ด้วยตัวเรือนทรงเหลี่ยมมุมมน เส้นสายที่กลมกลืนอย่างไร้รอยต่อของตัวเรือนและสายนาฬิกา รวมถึงหมุดตอกที่เห็นบนกรอบตัวเรือน คาร์เทียร์ปรารถนาที่จะให้ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ รักษาความความโดดเด่นของเส้นสายแต่ยังความอ่อนช้อย จึงทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นเสมือนทั้งเรือนเวลาและเครื่องประดับ โดยปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ มีชื่อเดียวกับกำไลข้อมือที่สะท้อนท่วงท่าของเสือแพนเตอร์ สัตว์ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำแบรนด์คาร์เทียร์ โดยดีไซน์นั้นสืบทอดโดยตรงจากเครื่องประดับที่เปิดตัวในปี 2005

เรือนเวลารุ่นนี้ได้ถูกนำมาออกแบบตีความใหม่อีกครั้งในปี 2017 ใช้การเจาะเป็นรูปทรงเรขาคณิตร่วมกับมุมแหลม ดีไซน์ที่แม่นยำพรั่งพร้อม สอดคล้องกับสายนาฬิกาที่พัฒนาโดยสตูดิโอสร้างสรรค์และ Manufacture ของคาร์เทียร์ เชื่อมด้วยบานพับที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ให้ความยืดหยุ่นสูงสุดตลอดเส้น ยามสวมใส่จึงแนบสนิทไปกับข้อมือ เปี่ยมเสน่ห์อย่างแนบสนิทไร้รอยต่อ แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสตรีที่เปี่ยมสุข เด็ดเดี่ยว และเป็นอิสระเหนือชายชาตรี โดยปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ นั้นได้ถูกออกแบบมาในหลากหลายรูปแบบและหลายวัสดุให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนสตีล ตัวรือนโรสโกลด์ ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์และสตีล ไปจนถึงดีไซน์หรูหราตามแบบฉบับของคาร์เทียร์เช่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์แต้มแลคเกอร์สีดำฝังพลอยซาโวไรต์ที่ดวงตา หรือตัวเรือนไวท์โกลด์ฝังเพชรและฝังมรกตที่ดวงตา ก็มีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตา

บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ (Ballon Bleu de Cartier) ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี 2007 โดยดีไซเนอร์ของคาร์เทียร์ได้นำความกลมมนมาตีความใหม่ด้วยการเพิ่มมิติในตัวเรือนมากยิ่งขึ้น โดยที่ยังคงความโค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์เด่นของนาฬิการุ่นนี้ เกิดเป็นนาฬิกาหน้าปัดกลมที่มีมิติชั้นเชิง กลมกลืนกับตัวเรือนที่มีความสมดุลระหว่างเส้นสายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เม็ดมะยมคริสตัลแซฟไฟร์ สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ถูกซ่อนอยู่ในวงแหวนกลมเล็กไว้กับตัวเรือนอย่างแนบเนียนไม่มีสะดุดที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ ขึ้นชื่อเรื่องการสวมใส่สบายข้อมือ และสามารถสวมใส่ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก คาร์เทียร์ ไม่หยุดยั้งพัฒนาและนำมาตีความใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างมิติใหม่ให้กับเรือนเวลาทรงกลมรุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง Ballon Bleu de Cartier คือเรือนเวลาที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน ด้วยดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาอย่างลงตัว และความเข้ากันได้ดีของชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวาง และเรียกได้ว่าเป็นไอคอนของคาร์เทียร์อย่างแท้จริง เป็นเรือนเวลาที่พร้อมถ่ายทอดอัตลักษณ์เฉพาะแบบของตนเองผ่านสัญลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาในแบบฉบับของคาร์เทียร์

พาช่า เดอ คาร์เทียร์ (Pasha de Cartier) เรือนเวลาที่ขึ้นสถานะคัลท์ (Cult) นับตั้งแต่การเกิดของคอลเลคชั่นครั้งแรกในปี 1985 เมื่อปี 2020 คาร์เทียร์นำมาตีความแบบใหม่ เกิดเป็นเรือนเวลาสำหรับบุคคลที่กล้าคิดกล้าทำ เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ใจกว้างและเชื่อในความต่าง พาช่า เดอ คาร์เทียร์ เหมาะสำหรับผู้ที่คิดใหญ่ มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์เฉียบคม สะท้อนคำนิยามความสำเร็จในรูปแบบใหม่อันมีเอกลักษณ์ สร้างความสำเร็จที่ต่างออกไปจากคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริง พาช่า เดอ คาร์เทียร์ อวดรูปลักษณ์กราฟฟิกอันเด่นชัด ลายเส้นตารางในหน้าปัดวงกลม ตกแต่งลายกิโยเช่และเลขบอกเวลาอารบิกแบบโอเวอร์ไซส์ ข้อต่อสายประดับด้วยหมุดสตั๊ด Clous de Paris เสริมสายนาฬิกาให้มีลูกเล่นยิ่งกว่าเคย เม็ดมะยมที่ร้อยเข้ากับตัวเรือนด้วยโซ่ ให้ผู้สวมใส่มองเห็นเม็ดมะยมได้ชัดยิ่งขึ้น พาช่า เดอ คาร์เทียร์ นับเป็นเรือนเวลาที่คาร์เทียร์ที่ก้าวออกนอกกรอบการสร้างสรรค์นาฬิกาในแบบเดิมๆ

กว่าจะมาเป็นเรือนเวลาแต่ละรุ่นจากคารเทียร์นั้น มีชิ้นส่วนและเรื่องราวที่ร้อยเรียงออกมาได้อย่าสวยงามมากมาย จากอดีตจนถึงปัจุบัน ความสำคัญในด้านดีไซน์และเบื้องหลังในการรังสรรค์ชิ้นงานของคาร์เทียร์แต่ละรุ่นบ่งบอกถึงความใส่ใจและทักษะอันประณีตของ     คาร์เทียร์ต่อการรังสรรค์เรือนเวลาได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นซื้อนาฬิกาข้อมือ เรือนเวลาคาร์เทียร์ทุกรุ่นถือเป็นนาฬิกาข้อมือที่มีดีไซน์เหนือกาลเวลา เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และยังสามารถเข้าได้กับทุกยุคสมัยและทุกเพศทุกวัย และทุกวาระโอกาส มอบความคุ้มค่าที่มาพร้อมกับความสง่างามตามแบบฉบับของคาร์เทียร์

Related Articles