HUG me, please เยียวยาโลกด้วยอ้อมกอด

Share

 

HUG me, please

เยียวยาโลกด้วยอ้อมกอด

 

“…แม่พูดตั้งนานไม่ยอมแปรงฟัน แต่พอพี่ฮายมาพูดรอบเดียวก็แปรงเลย….”

…เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “ความรู้สึก” ที่ Item ทัชใจผู้บริโภค

อาจจะเปรียบเทียบไกลสักนิดนึง แต่เป็นคนละเรื่องเดียวกันกับประเด็นที่นำเสนอในครานี้ การเยียวยาด้วยอ้อมกอด”  

เพราะเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่างที่เรามักคุ้นคือในด้านการประชาสัมพันธ์การตลาด ที่ผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ สร้างความรู้สึกดีๆ ต่อผู้บริโภค ลองได้คุ้นเคยได้หลงรักแล้ว ถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นประสบความสำเร็จไปแล้วกึ่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเลือก แบรนด์นั้นย่อมต้องมาเป็นอันดับแรก

เช่นเดียวกับการที่เด็กน้อยมีไอดอลสักคนอยู่ในใจ จะเหมือนน้ำทิพย์ช่วยเยียวยาเวลาที่เหนื่อย ท้อ เวลาที่ต้องการใครสักคนปลอบใจ…

สังเกตมั้ยว่าปัจจุบันเราโหยหาการกอดมากขึ้น…

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ทางกายที่เห็นกันอยู่ดาษดื่นตามพื้นที่สาธารณะบางแห่ง

ความที่เงินเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนแทบทุกสิ่งในชีวิต ผู้คนอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ต่างคนต่างอยู่ ยิ่งโลกหมุนไปข้างหน้าเร็วเท่าไร มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับผู้คนมากขึ้น ความห่างเหินยิ่งมีมากขึ้น การกอดยิ่งเป็นสิ่งที่คนโหยหา

…เพราะอ้อมกอดนั้นทรงพลังและให้อะไรมากมายอย่างที่คาดไม่ถึง

แค่ไหล่สัมผัสไหล่ โอบแขนไปด้านหลัง วางฝ่ามือนิ่ง นานสักพักเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามได้ซึมซับความปรารถนาที่ต้องการส่งให้ จวบจนผู้ถูกกอดเริ่มขยับตัว เป็นการแสดงถึงมิตรภาพ แบ่งปันความรัก ความห่วงใย รวมทั้งกำลังใจให้กับผู้ที่ถูกกอด

portrait of two young girls embraced leaning against a wall with graffiti

 

กระนั้น การกอดที่ว่านั้นไม่ได้จำกัดแค่ในคนหนุ่มสาว แต่สามารถทำได้กับทุกวัย ตั้งแต่เบบี้ที่แม้ยังไม่เดียงสา แต่เมื่อได้รับกอดจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความรักที่ได้รับ ไปจนผู้เฒ่าผู้แก่

ในทางจิตวิทยา การกอดช่วยเพิ่มระดับออกซิโทซิน (oxytocin) ในร่างกาย ปลดปล่อยพลังบวกให้กับผู้ที่ถูกกอด ส่งผลให้จิตใจดี ร่างกายก็ดี การไหลเวียนของโลหิต การหลั่งของฮอร์โมนดี ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคดีไปด้วย แต่ต้องกอดกันเป็นเวลานาน 20 วินาทีขึ้นไป การกอดจึงช่วยเยียวยาผู้เจ็บป่วย ไม่ว่าจะป่วยทางใจหรือป่วยทางกาย ยิ่งประกอบกับการใช้ยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการต่อสู้กับการเจ็บป่วยและหายจากโรคภัยได้เร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

ถึงขนาดที่ Virginia Satir นักจิตวิทยา ยืนยันว่า คนเราควรกอดกันวันละ 4 ครั้งเพื่อความอยู่รอด หากกอดกันได้ถึงวันละ 8 ครั้งก็จะทำให้เรารักษาสมดุลในการดำเนินชีวิตได้ หากกอดกันวันละ 12 ครั้งจะทำให้เราเติบโตจากจิตวิญญาณ โดยสรุปกอดกันวันละ 4-8 ครั้ง ก็เพียงพอ

การกอดช่วยคลายเครียด เช่น ในคนที่อยู่ในภาวะตกใจ เสียใจสุดขีด การกอดจะช่วยปลอบประโลม ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย มีใครสักคนที่ยังอยู่เป็นเพื่อน ไปจนถึงเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยเฉพาะในกรณีของผู้ป่วยซึมเศร้า

 

ในวาระที่วันที่ 21 มกราคม เป็นวันกอดสากล…เรามากอดกันเถอะ เพราะการกอดจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง.

 

rabbit2themoon

rabbit2themoon

คอลัมนิสต์หน้าไม่ใหม่ เคยพำนักอยู่ใต้ชายคามติชน ประจำกอง บก.นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ก่อนขยับมาเป็นผู้สื่อข่าวเซ็กชั่นประชาชื่น เขียนสัมภาษณ์บุคคล-สกู๊ปเชิงไลฟ์สไตล์-ท่องเที่ยว-อาหาร-จิปาถะ สถานะปัจจุบัน นอกจากเป็นคอลัมนิสต์ ยังเป็นนักเขียนอิสระ เขียนบทความเชิงประชาสัมพันธ์

Related Articles