ชอบอ่านเรื่องราวการค้นพบทั้งเกี่ยวกับทฤษฎีของศาสตร์ต่างๆ การประดิษฐ์คิดค้นบางสิ่งเป็นครั้งแรก ชอบในความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อยครั้ง เพราะรางวัลแห่งความสำเร็จที่ปลายทางนั้นช่างหอมหวานและชื่นหัวใจนัก
การค้นพบครั้งแรกเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีก้าวแรกย่อมไม่มีก้าวที่ 2-3-4…. แต่การหยิบเอาสิ่งที่ค้นพบครั้งแรกมาประยุกต์ใช้อย่างถูกที่ถูกทาง อย่างพอเหมาะพอดีกับสถานการณ์นั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า ไม่เช่นนั้นก้าวแรกคงเป็นได้แค่ทฤษฎีที่อยู่บนหิ้ง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2498 ครั้งนั้นผืนดินถิ่นอีสานบ้านเราแล้งนัก ขณะที่ประชากรในพื้นที่มีอาชีพทำกสิกรรมเป็นหลักที่ต้องพึ่งพาน้ำฝนถึงกว่า 80% การตัดไม้ทำลายป่าส่งผลให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชดำริหาหนทางที่จะดึงเมฆฝนให้ร่วงหล่นสู่ผืนดิน
“…เรื่องฝนเทียมนี้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2498 แต่ยังไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพราะว่าไปภาคอีสานตอนนั้นหน้าแล้งเดือนพฤศจิกายน ที่ไปมีเมฆมาก อีสานก็แล้ง ก็เลยมีความคิด 2 อย่าง ต้องทำ Check dam (ฝายหรือเขื่อนขนาดเล็ก) ตอนนั้นเกิดความคิดจากนครพนม ผ่านสกลนครข้ามไปกาฬสินธุ์ ลงไปสหัสขันธ์ …มันแล้ง …แต่มาเงยดูท้องฟ้า มีเมฆ ทำไมมีเมฆอย่างนี้ ทำไมจะดึงเมฆนี่ให้ลงมาได้ ก็เคยได้ยินเรื่องทำฝน ก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้ มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้….”
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานสัมภาษณ์แก่ข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ด้วยคุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ ผนวกกับความที่ทรงอ่านมาก เห็นมาก ค้นคว้ามาก เป็นจุดตั้งต้นของบันไดขั้นแรก กระนั้นไม่มีอะไรสำเร็จรูป หลังจากทรงสังเคราะห์ข้อมูลในเบื้องต้นแล้ว ทรงมีพระราชดำริแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ถึงความตั้งพระทัยจะค้นหาวิธีการสร้างฝนเทียม โดยการหาเทคนิควิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้านแปรสภาพอากาศมาช่วยให้เกิดการรวมตัวของเมฆก่อฝน
ครั้งนั้นผู้ที่รับพระราชดำริไปดำเนินการอย่างจริงจัง นอกจาก ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ มี ม.ล.เดช สนิทวงศ์ และ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ศึกษาจากผลการวิจัยทางวิชาการด้านการทำฝนเทียมของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสรเอล มาประยุกต์ใช้กับสภาพอากาศของเมืองไทย ภายใต้การพระราชทานข้อแนะนำอย่างใกล้ชิด
กระทั่งปี 2512 ปฏิบัติการทดลองจริงจึงเริ่มต้นขึ้นที่วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ปรากฎว่าหลังการปฏิบัติการประมาณ 15 นาที ก้อนเมฆในบริเวณนั้นเกิดมีการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นจนเห็นได้ชัด สังเกตได้จากสีของฐานเมฆได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาเข้ม ซึ่งผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ
แม้ในเบื้องต้นจะยังไม่สามารถควบคุมให้ฝนตกในบริเวณที่ต้องการได้ แต่จากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันจากคนในพื้นที่ว่าในที่สุดได้เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองภายในวนอุทยานเขาใหญ่ นับก้าวแรกที่ยืนยันถึงความเป็นไปได้ตามสมมติฐานที่จะบังคับเมฆให้เกิดเป็นฝน
ปีรุ่งขึ้นจึงมีการดำเนินการในรูปโครงการค้นคว้าทดลองทำฝนเทียม โดย ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ ทรงร่วมในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และโปรดเกล้าฯ ให้นำไปประยุกต์ในการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน ในฐานะทรงเป็น “พระบิดาแห่งฝนหลวง” และกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง”
ภาพ: มูลนิธิชัยพัฒนา