ข่าวร้ายอินเทล สุดท้ายจบสวยหรือจะกลับมายิ่งใหญ่

Share

 

มหากาพย์อินเทล ที่เคยเป็นผู้ผลิตชิปยิ่งใหญ่ของโลก กลายเป็นดรามาที่ไม่รู้จะจบอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครอยากให้มันจบไม่สวย แต่ยิ่งพูดยิ่งเจ็บ ยิ่งเห็นความจริงมันยิ่งปวดร้าว แม้วันนี้อินเทลจะผ่านด่านการที่ผู้ถือหุ้นฟ้องอินเทลเรื่องโรงหล่อขาดทุนไปได้ แต่ด่านหินมากมายรออยู่ข้างหน้า เรามาไล่เรียงและร่วมลุ้นอนาคตของอินเทลกัน

ขอเริ่มจาก กรณีผู้ถือหุ้นของ Intel ฟ้องร้องบริษัท โดยกล่าวหาว่ามีการปกปิดปัญหาทางธุรกิจเกี่ยวกับ Intel Foundry Services (IFS) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจการผลิตชิปสำหรับลูกค้าภายนอก การฟ้องร้องเกิดขึ้นเมื่อ Intel เปิดเผยผลขาดทุน 7 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2023 และประกาศปลดพนักงานกว่า 15,000 คน พร้อมกับระงับการจ่ายเงินปันผล มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงกว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐในวันเดียว

ข้อกล่าวหาหลักของผู้ถือหุ้น ก็คือ Intel ปกปิด หรือ เปิดเผยข้อมูลล่าช้า เกี่ยวกับผลขาดทุนของ IFS มีการ ให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด เกี่ยวกับแนวโน้มของธุรกิจโรงหล่อ ทำให้ราคาหุ้นช่วงวันที่ 25 มกราคม – 1 สิงหาคม 2024 ผู้ถือหุ้นเสียหายเมื่อราคาหุ้นตกฮวบ

คำตัดสินของศาล โดยผู้พิพากษา Trina Thompson สั่ง ยกฟ้อง คดี โดยให้เหตุผลว่า Intel ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจผิด เพราะผลขาดทุนที่ระบุไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉพาะ IFS เท่านั้น แต่รวมถึง Internal Foundry Model ซึ่งเป็นโมเดลการผลิตชิปภายในของบริษัทด้วย คำแถลงของ CEO (Pat Gelsinger) ไม่ถือเป็นการหลอกลวง เพราะคำพูดเกี่ยวกับ “แรงผลักดันที่ดี” และ “ความต้องการเพิ่มขึ้น” นั้นอ้างอิงถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่แนวโน้มรายได้โดยรวม แต่ศาลยังเปิดทางให้โจทก์ ยื่นคำร้องแก้ไข ได้

ผลกระทบของคำตัดสิน แน่นอน Intel ได้รับชัยชนะทางกฎหมาย ไม่ต้องเผชิญค่าเสียหายหรือข้อจำกัดทางธุรกิจจากคำพิพากษา และหุ้น Intel อาจมีเสถียรภาพขึ้น หลังความไม่แน่นอนทางกฎหมายลดลง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะแม้จะชนะคดี แต่ปัญหาการขาดทุนและการปลดพนักงานยังคงอยู่ และ Intel ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งในตลาดชิปและ AI เช่น TSMC, Samsung และ NVIDIA

ก่อนจะเห็นภาพในอนาคตอันใกล้ เรามาไล่นเรียงไทม์ไลน์วิกฤตของ Intel: จากยักษ์ใหญ่สู่ความท้าทายทางธุรกิจ

Intel เคยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเผชิญปัญหาหลายด้านจนทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน นี่คือไทม์ไลน์ของปัญหาหลักที่นำไปสู่วิกฤตปัจจุบัน

ยุครุ่งเรือง (ก่อน 2010)

– 1990s – 2010: Intel เป็นผู้นำตลาดซีพียูสำหรับพีซีและเซิร์ฟเวอร์ โดยมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าและเป็นเจ้าตลาดในกลุ่ม x86

จุดเริ่มต้นของปัญหา (2010 – 2016) 2010s: การมองข้ามตลาดสมาร์ทโฟน เริ่มจาก Intel ปฏิเสธโอกาสในการผลิตชิปให้กับ iPhone รุ่นแรกของ Apple ในปี 2007  แล้วปล่อยให้ ARM และ Qualcomm ครองตลาดสมาร์ทโฟน ปี 2015 – 2016: ปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิต Intel เริ่มล่าช้า ในกระบวนการผลิตขนาดเล็กลง เช่น 10nm ล้มเหลว TSMC ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิปจากไต้หวัน และ Samsung เริ่มแซงหน้าในการผลิตชิปที่ล้ำสมัย

วิกฤตเริ่มรุนแรงขึ้น (2018 – 2020) ปี 2018: ความล่าช้าของเทคโนโลยี 10nm Intel ประกาศว่าจะเปิดตัวชิป 10nm แต่ล่าช้าไปจนถึงปี 2019 ทำให้ AMD (คู่แข่งหลัก) เปิดตัวชิป 7nm นำหน้า Intel ท้ายที่สุด 2020: Apple ทิ้ง Intel ไปใช้ชิป M1 โดย Apple เปลี่ยนจากซีพียู Intel ไปใช้ Apple Silicon (M1) แน่นอนมันกระทบต่อรายได้และภาพลักษณ์ของ Intel อย่างหนัก ทางด้าน CEO Bob Swan ถูกกดดันหนัก ผลประกอบการของ Intel ต่ำกว่าคู่แข่ง และเสียลูกค้าใหญ่หลายราย ส่งผลให้นักลงทุนกดดันให้เปลี่ยน CEO

วิกฤตหนัก (2021 – 2023) ปี 2021: Pat Gelsinger เข้ามาเป็น CEO และพยายามกู้วิกฤตด้วยกลยุทธ์ “IDM 2.0” เพื่อฟื้นฟูโรงงานผลิตชิป ประกาศตั้ง Intel Foundry Services (IFS) แข่งกับ TSMC ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ไม่ได้ผลิตแต่ชิปอินเทลอย่างเดียวแล้ว  2022: ปัญหาด้านความสามารถในการผลิตชิป แม้จะพยายามรับผลิตชิปจากภายนอก เพื่ออัพสกิลของตัวเองแล้ว แต่ Intel ยังตามหลัง TSMC และ Samsung ในกระบวนการผลิต 3nm คู่แข่งอย่าง AMD และ NVIDIA ต่างเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของ Intel อย่างสนุกสนาน

ปี 2023: Intel Foundry ขาดทุน 7 พันล้านดอลลาร์ โรงงานผลิตชิปของ Intel ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนและประสิทธิภาพได้ ในที่สุดอินเทลต้องเลิกจ้างพนักงานกว่า 15,000 คน

จุดวิกฤตล่าสุด (2024 – ปัจจุบัน) 2024: การฟ้องร้องจากผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นฟ้องร้องว่า Intel ปกปิดปัญหาการขาดทุน ของธุรกิจ Foundry ส่งผลให้มูลค่าตลาดของ Intel หายไปกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว 2024: การแข่งขันด้าน AI ทางด้านนี้ NVIDIA และ AMD นำหน้าทางด้าน AI Chips แม้ Intel พยายามบุกตลาด AI แต่ยังไม่สามารถแข่งขันได้

มองจากไทม์ไลน์แล้วสาเหตุหลักของวิกฤติ Intel คือ เทคโนโลยีการผลิตล่าช้า  ถูก TSMC และ Samsung แซง เสียโอกาสตลาดสมาร์ทโฟนและลูกค้าใหญ่ (Apple, Microsoft, Amazon)ขาดความสามารถในการแข่งขันด้าน AI และ GPU ธุรกิจโรงหล่อ (Foundry) ขาดทุนหนักนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ราคาหุ้นร่วงหนัก

แล้วอนาคตของ Intel จะเป็นอย่างไร แน่นอน 3 เป้าหมายก็คือ Intel ต้องเร่งพัฒนา กระบวนการผลิต 2nm และ AI Chips, ต้องทำให้ Intel Foundry Services (IFS) กลับมาทำกำไร, หากไม่สามารถกู้วิกฤตได้ อาจเสี่ยงต่อการ ถูกแซงจนสูญเสียความเป็นผู้นำถาวร Intel จึงถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ถ้าแก้ปัญหาไม่สำเร็จ อาจกลายเป็นเพียง “อดีตยักษ์ใหญ่” ของอุตสาหกรรมชิปเซ็ต

ทำไมเทคโนโลยีการผลิตของ Intel ถึงมีปัญหา?

  1. ปัญหาด้านกระบวนการผลิต (Process Node) ความล่าช้าของ 10nm และ 7nm ซึ่ง Intel มีแผนเปิดตัวชิป 10nm ตั้งแต่ปี 2015 แต่เกิดปัญหาทางเทคนิค ทำให้เลื่อนออกไปจนถึง 2019 แต่เมื่อ Intel เปิดตัว 10nm ในปี 2019 คู่แข่งอย่าง TSMC และ Samsung กำลังผลิต 7nm ซึ่งล้ำหน้ากว่า และเมื่อ Intel วางแผนเปิดตัว 7nm ในปี 2021 แต่ต้อง เลื่อนเป็น 2023 ทำให้ตามหลังคู่แข่งถึง 2-3 ปี

ปัญหาทางเทคนิคของ 10nm ก็คือ Intel พยายามใช้ “Self-Aligned Quadruple Patterning (SAQP)” ซึ่งซับซ้อนมาก ทำให้ผลิตชิปได้ช้าและ yield ต่ำ ปัญหานี้ทำให้ Intel ต้องขายซีพียู 10nm ในปริมาณจำกัด และยังต้องพึ่งพา 14nm ต่อไป

การเสียเปรียบด้านขนาดทรานซิสเตอร์ Intel ใช้หน่วยวัดแบบเก่า ทำให้ชื่อเรียก “10nm” ของ Intel ใกล้เคียงกับ “7nm” ของ TSMC ขณะที่ ชิป 7nm ของ TSMC และ Samsung มีทรานซิสเตอร์ที่หนาแน่นกว่า ส่งผลให้ประสิทธิภาพสูงกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่า

  1. ขาดความยืดหยุ่นในการผลิต Intel ใช้โรงงานของตัวเองเท่านั้น (IDM Model) เมื่อ Intel ใช้ Integrated Device Manufacturer (IDM) ซึ่งหมายความว่า ออกแบบและผลิตชิปเอง ในขณะที่คู่แข่งอย่าง AMD, Apple, NVIDIA เลือกใช้ โรงงานของ TSMC ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า เมื่อ Intel มีปัญหากับ 10nm และ 7nm ไม่สามารถหันไปพึ่งพาโรงงานอื่นได้ ต่างจาก AMD ที่ใช้ TSMC ได้ทันที

TSMC และ Samsung ก้าวนำด้วยโมเดล Foundry เพราะ TSMC และ Samsung ใช้โมเดล Pure Foundry ที่มุ่งเน้นการผลิตชิปให้กับลูกค้าหลายราย ทำให้พัฒนาเทคโนโลยีได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Intel พยายามเปลี่ยนมาใช้โมเดล Intel Foundry Services (IFS) ในปี 2021 แต่ก็ยังไม่สามารถแข่งขันได้

  1. ปัญหาด้านการบริหารและกลยุทธ์ สิ่งที่เห็นชัดก็คือ การจัดการผิดพลาดและเปลี่ยน CEO บ่อยอดีต CEO Brian Krzanich (2013-2018) ให้ความสำคัญกับธุรกิจ Data Center มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต พอมา CEO Bob Swan (2019-2021) เป็นนักการเงินที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรม ทำให้บริษัทไม่มีวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยี จนถึงปี 2021 Pat Gelsinger ซึ่งเป็นอดีตลูกหม้อที่อยู่กับอินเทลมาอย่างยาวนาน กลับมาเป็น CEO และพยายามกอบกู้สถานการณ์

ตัดสินใจพลาดในช่วงวิกฤต เริ่มจาก Intel มองข้ามตลาดสมาร์ทโฟน และไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับชิปมือถือ ทำให้ TSMC และ Samsung ขึ้นมาแทน นั่นคือการปล่อยให้คู่แข่งเติบโต การไม่ลงทุนกับ Extreme Ultraviolet Lithography (EUV) ตั้งแต่แรก ทำให้ตามหลัง TSMC ที่ใช้ EUV ใน 7nm ได้ก่อน ก็คือการปล่อยเสือเข้าป่าอย่างแท้จริง

  1. การแข่งขันจากคู่แข่งที่แข็งแกร่ง AMD ใช้ TSMC แซงหน้า Intel โดย AMD หันไปใช้ TSMC 7nm และ 5nm ทำให้สามารถออกแบบชิปที่ประสิทธิภาพสูงกว่าของ Intel พอมาปี 2020 AMD ออก Ryzen 5000 Series (Zen 3) ที่เร็วกว่า Intel ในทุกด้าน ส่วน Apple ทิ้ง Intel ไปใช้ Apple Silicon โดย Apple ใช้ชิป Intel มานาน แต่ Intel ล่าช้าในการผลิต 10nm และ 7nm ทำให้ Apple พัฒนา M1 บนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC แทน การเปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon ทำให้ Intel สูญเสียลูกค้ารายใหญ่ สุดท้ายก็คือ NVIDIA ครองตลาด AI ซึ่ง Intel พยายามแข่งขันในตลาด AI แต่ยังตามหลัง NVIDIA (GPU) และ AMD (AI Accelerator)
  2. การพยายามกู้สถานการณ์ของ Intel เริ่มจากแผน IDM 2.0 (2021) ซึ่ง Intel ประกาศใช้ Intel Foundry Services (IFS) เพื่อแข่งขันกับ TSMC โดยลงทุนกว่า $20,000 ล้าน สร้างโรงงานใหม่ที่ Arizona และ Ohio และวางแผนเร่งพัฒนา 5nm และ 3nm โดย Intel สัญญาว่าจะเปิดตัว Intel 3 (เทียบเท่า 3nm) ในปี 2024 และ Intel 20A (2nm) ในปี 2025 โดยใช้ EUV Lithography เพื่อลดปัญหาการผลิต จุดสำคัญอีกขั้นก็คือ อินเทลทำสัญญากับ TSMC โดยปี 2023 Intel ตัดสินใจใช้โรงงานของ TSMC ในการผลิตบางส่วน เช่น ชิปกราฟิก Arc GPU แสดงให้เห็นว่า Intel ยอมรับว่าไม่สามารถพึ่งพาโรงงานของตัวเองเพียงอย่างเดียว

คำถามยังตามมาอีกว่า Intel จะกลับมาเป็นผู้นำได้ไหม? บนความท้าทายที่ว่า Intel ยังตามหลัง TSMC และ Samsung อย่างน้อย 2-3 ปี และต้องแข่งขันกับ AMD, NVIDIA และ Apple ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้ากว่า

โอกาสฟื้นตัว: หาก Intel สามารถผลิต 2nm (Intel 20A) ได้ตามแผนในปี 2025 อาจกลับมาสู้กับ TSMC ได้ และการที่สหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ 2.0 สนับสนุนการผลิตชิปภายในประเทศ (CHIPS Act) อาจช่วยให้ Intel ได้เปรียบ

เรามาคาดการณ์อนาคตของ Intel ในปี 2026 กันก่อน สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือ Intel ยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โดยพยายามกลับมาสู่ความเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากสูญเสียตำแหน่งไปให้กับ TSMC และ AMD  1. การแข่งขันในตลาดซีพียูพีซีและโน้ตบุ๊ก จุดแข็งของอินเทลคือ ชิป Lunar Lake (Intel Core Ultra) จะเปิดตัวในปลายปี 2024 จะมีผลเต็มที่ในปี 2025-2026 มีการปรับปรุง ประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน เพื่อสู้กับ AMD และ Apple ที่ยังเห็นได้ชัดเจนคือ การคงเป็นผู้นำใน โน้ตบุ๊กระดับธุรกิจและองค์กร แต่ความท้าทายคือ AMD Strix Point (Zen 5) และ Zen 6 อาจยังคงได้เปรียบด้านประสิทธิภาพ ขณะที่ Apple M4 หรือ M5 อาจทำให้ MacBook แข็งแกร่งขึ้น จนกินตลาดโน้ตบุ๊ก Intel มากขึ้น

2.ตลาดเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูล (Data Center & AI Computing) อินเทลมีจุดแข็ง คือ Xeon 6 (Sierra Forest & Granite Rapids) จะเปิดตัวในปี 2024 และมีผลต่อเนื่องถึงปี 2026 การเปลี่ยนไปใช้ ชิปที่ใช้ Efficient-core (คล้าย ARM) อาจช่วยให้แข่งขันกับ AMD และ Arm ได้ดีขึ้น ความท้าทาย คือ AMD EPYC (Zen 5 & Zen 6) ยังมีโอกาสนำหน้า ส่วน NVIDIA และ AMD ครองตลาด AI Server ทำให้ Intel อาจตามไม่ทัน

3.ธุรกิจ Intel Foundry Services (IFS) จุดแข็งคือ Intel 3 และ Intel 20A (2nm) จะเข้าสู่ตลาด อาจช่วยให้ Intel สามารถผลิตชิปที่แข่งขันกับ TSMC ได้ มีเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ (CHIPS Act) จะช่วยให้ Intel สร้างโรงงานและขยายธุรกิจ ความท้าทาย คือ TSMC และ Samsung ยังคงนำหน้า โดยเฉพาะในเทคโนโลยี 3nm และ 2nm ลูกค้าภายนอกอาจยังไม่ไว้วางใจ จนกว่าพิสูจน์ได้ว่า Intel ผลิตชิปได้ดีเทียบเท่า TSMC

4.สถานการณ์ทางการเงินและมูลค่าหุ้น จุดแข็งคือ การปรับโครงสร้างองค์กรและลดต้นทุน จะช่วยให้มีกำไรที่ดีขึ้น, ธุรกิจโรงหล่อ (Foundry) อาจเริ่มสร้างรายได้ที่สำคัญ ความท้าทายคือ การต้องลงทุนโรงงานใหม่ มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจกดดันกระแสเงินสด ขณะเดียวกันหุ้นอาจไม่ฟื้นตัวเร็ว หากผลประกอบการยังคงถูกกดดัน

บทสรุปและแนวโน้มปี 2026

ด้าน แนวโน้ม
โน้ตบุ๊กและพีซี ยังคงแข่งขันได้ แต่เผชิญแรงกดดันจาก AMD และ Apple
เซิร์ฟเวอร์และ AI ตลาดเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปยังแข็งแกร่ง แต่ AI ยังเป็นจุดอ่อน
ธุรกิจ Foundry เริ่มเติบโต แต่ยังตามหลัง TSMC
สถานะการเงิน ยังต้องลงทุนหนัก อาจกดดันหุ้นในระยะสั้น

 

บทสรุปและแนวโน้มปี 2025-2028

ด้าน แนวโน้ม 2025-2028
โรงหล่อ (Foundry Business) เริ่มดึงลูกค้าภายนอกได้ แต่ยังแพ้ TSMC และ Samsung
CPU สำหรับพีซี/โน้ตบุ๊ก อาจกลับมาแข่งขันกับ AMD แต่ MacBook จะกินตลาดมากขึ้น
เซิร์ฟเวอร์และ AI Xeon ยังขายได้ แต่ AI ถูก NVIDIA และ AMD ครอง
มูลค่าหุ้น อาจฟื้นตัวช้า แต่ถ้าชิป 18A และ Nova Lake สำเร็จ หุ้นอาจกลับมาโต

 

วิเคราะห์แนวโน้มราคาหุ้นของ Intel ในปี 2025

ณ วันที่ 6 มีนาคม 2025 ราคาหุ้นของ Intel (INTC) อยู่ที่ 20.81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลดลงอย่างมากจากปีก่อนหน้า การลดลงนี้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่เคยประเมินว่าราคาหุ้นของ Intel อาจลดลงเหลือ 12.28 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2025

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้น:

  1. ผลประกอบการที่ลดลง: Intel รายงานว่ารายได้รวมลดลง 7% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 และขาดทุนสุทธิ 153 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. การเปลี่ยนแปลงในผู้บริหาร: การลาออกของ CEO Pat Gelsinger ในเดือนธันวาคม 2024 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในทิศทางของบริษัท
  3. การแข่งขันที่รุนแรง: Intel เผชิญกับการแข่งขันจากบริษัทอื่น ๆ เช่น AMD และ NVIDIA ซึ่งส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาดและความสามารถในการทำกำไร

แนวโน้มในอนาคต:

แม้ว่าราคาหุ้นของ Intel จะลดลงในปัจจุบัน แต่ยังมีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าราคาหุ้นอาจกลับมาอยู่ที่ 44.94 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2029 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของ Intel ในการปรับตัวและแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ราคาหุ้นของ Intel มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยภายในและการแข่งขันในตลาด อย่างไรก็ตาม หากบริษัทสามารถปรับตัวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ราคาหุ้นอาจฟื้นตัวในระยะยาว นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจลงทุน

Intel ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก ว่าจะสามารถกลับมาแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่าง AMD, TSMC, และ NVIDIA ได้หรือไม่ หาก Intel สามารถพลิกฟื้นธุรกิจโรงหล่อ และพัฒนาชิปให้แข็งแกร่งขึ้นภายใน 3 ปีนี้ พวกเขาอาจกลับมาเป็นผู้นำได้อีกครั้งในปี 2028

 

Related Articles