สถาบันการเงินในไทยไม่มีวันตาย ไม่มีใครขาดทุน อยู่เป็นเสือนอนกินสบายๆ แต่ในต่างประเทศสถานการณ์กับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการมาของ AI ที่กำลังถูกตั้งคำถามว่า การวิเคราะห์ด้วย AI กำลังเปลี่ยนแปลงการธนาคารด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะอย่างไร ยุคใหม่ของธนาคารกำลังเปลี่ยนอีกรอบ แม้หลายธนาคารจะลงทุนเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน แต่ตอนนี้เทคโนโลยีมันมา ของมันต้องมีเพิ่ม งานนี้ธนาคารทั่วโลกคงต้องขยับกันครั้งใหญ่
ในต่างประเทศ มีข่าวฮือฮาถึงฟีเจอร์ใหม่ที่มาช่วยงานธนาคารของเอไอ ในด้าน การตรวจจับการทุจริต โดย AI ช่วยเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการทุจริตด้วยการวิเคราะห์รูปแบบธุรกรรมที่ผิดปกติและระบุพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็ว, การประเมินความเสี่ยงด้านเครดิต เป็นการใช้ AI ในการสร้างโมเดลความเสี่ยงด้านเครดิตช่วยให้ธนาคารสามารถประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถเสนอเงื่อนไขเงินกู้ที่แข่งขันได้และขยายการอนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น และ การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า โดย AI ช่วยให้ธนาคารสามารถมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและราบรื่นยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า เช่น การใช้แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ล่าสุดธนาคารชั้นนำอย่าง JPMorgan Chase ได้บูรณาการ AI เข้ากับการดำเนินงาน โดยเปิดตัวเครื่องมือที่เรียกว่า LLM Suite ซึ่งใช้ AI เชิงสร้างสรรค์เพื่อช่วยเหลือพนักงานในการเตรียมเอกสารทางกฎหมายและปรับปรุงการบริการลูกค้า ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น โดยรวมแล้ว การนำ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในภาคการธนาคารช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดความเสี่ยง และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
นี่แค่ตัวอย่าง แต่จริงๆ แล้ว ความสามารถของ AI ในภาคธนาคารไปได้ไกลกว่านั้นมาก และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจาก การตรวจจับทุจริต, การประเมินความเสี่ยง, และการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า แล้ว ยังมีอีกหลายด้านที่ AI สามารถเข้ามาปฏิวัติระบบการเงินและการธนาคารได้ เช่น:
- การพยากรณ์ตลาดและการลงทุนอัตโนมัติ (AI-Powered Investment & Trading) โดย AI จะเข้ามาวิเคราะห์แนวโน้มตลาดแบบเรียลไทม์ ช่วยนักลงทุนตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น มีการใช้อัลกอริธึม “Algorithmic Trading” หรือ “AI Quantitative Trading” เพื่อให้คำแนะนำและดำเนินการซื้อขายอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น JPMorgan Chase ใช้ AI วิเคราะห์สัญญาณตลาดล่วงหน้า เพื่อทำนายความเคลื่อนไหวของหุ้น
- การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย (AI-Powered Spending Analysis) โดย AI จะตรวจสอบพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า และแนะนำ แผนการเงินส่วนบุคคล มีการแจ้งเตือนหากลูกค้ามีพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัว หรือมีธุรกรรมที่ผิดปกติ ตัวอย่างเช่น Bank of America ใช้ AI ใน “Erica” ระบบแชทบอทอัจฉริยะ ที่ช่วยจัดการการเงินของลูกค้าโดยอัตโนมัติ
- การบริหารสินเชื่อแบบ AI (AI-Powered Loan & Credit Management) AI ช่วยวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าโดยพิจารณาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ นอกจากคะแนนเครดิต เช่น ประวัติการใช้จ่ายและพฤติกรรมการเงิน ลดปัญหาการให้สินเชื่อผิดพลาด และช่วยให้ ลูกค้าที่ไม่มีประวัติเครดิตสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ตัวอย่าง: ZestFinance ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยให้ผู้ที่ไม่มีเครดิตสามารถกู้เงินได้
- ระบบธนาคารอัจฉริยะไร้พนักงาน (AI-Driven Smart Banking) AI สามารถช่วยบริหาร สาขาธนาคารไร้พนักงาน ด้วยระบบ Chatbot, Voice Assistant และการยืนยันตัวตนผ่าน AI ใช้ Computer Vision + AI เพื่อตรวจสอบใบหน้า แทนการใช้บัตร ATM ตัวอย่าง: DBS Bank (สิงคโปร์) ใช้ AI เปิดสาขาธนาคารดิจิทัลเต็มรูปแบบ ที่ให้บริการลูกค้าแบบอัตโนมัติ 100%
- การป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ (AI in Cybersecurity & Fraud Prevention) AI วิเคราะห์และตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัยเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลและแฮกเกอร์ ใช้ AI + Blockchain ในการสร้างระบบความปลอดภัยระดับสูง ตัวอย่าง: Mastercard และ Visa ใช้ AI วิเคราะห์ธุรกรรมหลายล้านรายการต่อวินาที เพื่อป้องกันการฉ้อโกง
AI จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริมสำหรับธนาคารอีกต่อไป แต่เป็น “อนาคตของอุตสาหกรรมการเงิน” โดย AI สามารถช่วยให้ธนาคาร ฉลาดขึ้น, เร็วขึ้น, ปลอดภัยขึ้น และเป็นมิตรกับลูกค้ามากขึ้น ภายใน 1 ปีข้างหน้า (2025-2026) การใช้ AI ในภาคธนาคารจะเร่งตัวขึ้นอย่างมาก และเราอาจได้เห็นแนวโน้มหลัก ๆ ดังนี้
- AI เข้ามาจัดการบริการลูกค้าแทบทั้งหมด Chatbots อัจฉริยะ จะเป็นแนวหน้าในการให้บริการลูกค้า ลดภาระของพนักงาน Call Center, AI จะสามารถ ประมวลผลอารมณ์ของลูกค้า (Sentiment Analysis) และตอบโต้ได้อย่างเป็นธรรมชาติขึ้น ตัวอย่าง: ธนาคารจะใช้ AI แนะนำผลิตภัณฑ์การเงินเฉพาะบุคคล ตามพฤติกรรมการใช้จ่าย “อีกไม่นาน AI อาจทำให้เราคุยกับธนาคารโดยไม่ต้องมีมนุษย์เกี่ยวข้องเลย”
- AI จะเป็นตัวกลางสำคัญใน Digital Payments และ Fintech ระบบชำระเงินแบบ AI-Driven Payment จะฉลาดขึ้น เช่น การชำระเงินด้วยเสียง หรือสแกนใบหน้าผ่าน AI, AI จะช่วย ป้องกันการโกง ในระบบการชำระเงินอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ คาดว่า Cryptocurrency & CBDC (สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง) จะได้รับการสนับสนุนจาก AI มากขึ้น “ภายในปี 2025 การโอนเงินและทำธุรกรรมอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีบัตรเครดิตอีกต่อไป”
- การปล่อยสินเชื่อจะเปลี่ยนไปใช้ AI เป็นหลัก AI จะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อเร็วขึ้น จากหลายวันเหลือไม่กี่วินาที ผู้ที่ไม่มีเครดิตสกอร์ (เช่น ฟรีแลนซ์) จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น AI จะ ลดความเสี่ยงของหนี้เสีย (NPL – Non-Performing Loan) โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางเลือก เช่น พฤติกรรมใช้เงิน “อาจมีธนาคารที่ไม่มีพนักงานอนุมัติสินเชื่อเลย ทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติ”
- AI จะเป็นเกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ที่ดีกว่าเดิม Deepfake Fraud & Identity Theft (ปลอมแปลงตัวตนด้วย AI) จะพัฒนาไปไกล แต่ AI จะถูกใช้เพื่อตรวจจับภัยคุกคามนี้ ระบบ AI-driven Cybersecurity จะเรียนรู้และป้องกันการแฮ็กข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ธนาคารจะใช้ AI ตรวจจับ ธุรกรรมผิดปกติที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที “AI อาจช่วยให้บัญชีของเราปลอดภัยขึ้น แต่อาชญากรก็จะใช้ AI ในทางกลับกันเช่นกัน”
- AI จะเริ่มแทนที่พนักงานบางส่วนในธนาคาร ตำแหน่งเช่น พนักงานบริการลูกค้า, เจ้าหน้าที่อนุมัติสินเชื่อ, ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล อาจถูกลดจำนวนลง ธนาคารบางแห่งอาจ ลดจำนวนสาขาและหันไปสู่ Online Banking เป็นหลัก การใช้ AI ในงานหลังบ้าน (Back Office) เช่น การตรวจสอบเอกสารและการบัญชีจะสูงขึ้น “ปี 2025 อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เราจะเริ่มเห็น ‘ธนาคารไร้พนักงาน’ จริง ๆ”
สรุป: ภายใน 1 ปี AI จะเปลี่ยนธนาคารไปอย่างไร?
ลูกค้าแทบไม่ต้องไปธนาคารอีกต่อไป – ทุกอย่างจะทำได้ผ่านแอปและ AI
การทำธุรกรรมจะเร็วและอัตโนมัติขึ้น – การอนุมัติสินเชื่อ การโอนเงิน การลงทุนใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
AI จะทำให้ธนาคารปลอดภัยขึ้น – แต่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ใช้ AI ก็จะซับซ้อนขึ้นเช่นกัน
บางตำแหน่งอาจหายไป – พนักงานที่ทำงานซ้ำซากอาจถูกแทนที่ด้วยระบบ AI
“1 ปีอาจดูสั้น แต่การเปลี่ยนแปลงจะเร็วกว่าที่เราคิด ธนาคารที่ไม่ปรับตัวอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
ถ้าธนาคารจะก้าวไปสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ จะต้องมีการใช้งาน เทคโนโลยีสำคัญหลายระบบ เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างราบรื่น
- ระบบ AI และ Machine Learning (ML) ที่เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรม พฤติกรรมลูกค้า และความเสี่ยง, ตรวจจับการฉ้อโกงและภัยคุกคามไซเบอร์ล ใช้ AI แนะนำผลิตภัณฑ์การเงินแบบเฉพาะบุคคลล อนุมัติสินเชื่ออัตโนมัติโดยไม่ต้องมีพนักงาน ตัวอย่างระบบที่ใช้ TensorFlow / PyTorch ใช้พัฒนาโมเดล AI, H2O.ai / DataRobot แพลตฟอร์ม AI สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลในภาคการเงิน, OpenAI GPT / Google Gemini ใช้สร้าง Chatbot และระบบตอบคำถามอัจฉริยะ
- ระบบ Big Data และ Data Analytics วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและแนวโน้มตลาด, คาดการณ์การใช้จ่ายและพฤติกรรมการออมของลูกค้า, วิเคราะห์ความเสี่ยงของสินเชื่อโดยใช้ข้อมูลนอกเหนือจากเครดิตสกอร์ ตัวอย่างระบบที่ใช้ Apache Spark / Hadoop ใช้จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่, Snowflake / Google BigQuery ใช้บริหารข้อมูลการเงินและการทำธุรกรรม, Tableau / Power BI ใช้สร้างแดชบอร์ดแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์
- ระบบ Cybersecurity & Fraud Detection ป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น Deepfake Fraud, Identity Theft ตรวจสอบธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ ใช้ AI คาดการณ์และป้องกันการโจรกรรมข้อมูลตัวอย่างระบบที่ใช้ IBM QRadar / Splunk วิเคราะห์และป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์, Darktrace / Vectra AI ใช้ AI ตรวจจับการโจมตีทางไซเบอร์, FICO Falcon / Feedzai ใช้ AI ตรวจจับการทุจริตและพฤติกรรมผิดปกติ
- ระบบ Cloud Computing และ Edge Computing ย้ายระบบธนาคารขึ้น Cloud เพื่อความเร็วและความยืดหยุ่น ให้บริการแอปพลิเคชันและ API สำหรับ FinTech ใช้ Edge Computing เพื่อลดเวลาในการประมวลผลข้อมูลที่สาขาหรือ ATM ตัวอย่างระบบที่ใช้ AWS / Google Cloud / Microsoft Azure ระบบ Cloud สำหรับธนาคาร, IBM Cloud for Financial Services Cloud ที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลการเงิน, NVIDIA Edge AI ใช้ในอุปกรณ์เช่น ATM อัจฉริยะ
- ระบบ Blockchain & Digital Payments ทำให้ธุรกรรมมีความปลอดภัยและตรวจสอบย้อนกลับได้ รองรับ CBDC (Central Bank Digital Currency) และ Stablecoins ใช้ใน Smart Contracts สำหรับสินเชื่อและประกันภัย ตัวอย่างระบบที่ใช้ Ethereum / Hyperledger Fabric ใช้สร้างระบบ Smart Contract สำหรับธนาคาร, Ripple (XRP) / Stellar (XLM) ใช้พัฒนาเครือข่ายชำระเงินดิจิทัล, Visa B2B Connect / Mastercard Provenance ใช้ Blockchain สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ
- ระบบ Conversational AI & Voice Recognition สร้าง AI Chatbots และ Voice Assistants ให้ลูกค้าสื่อสารกับธนาคารได้ง่ายขึ้น ใช้ระบบ Voice & Biometric Authentication เพื่อยืนยันตัวตนแทนรหัสผ่าน ตัวอย่างระบบที่ใช้ OpenAI GPT / Google Dialogflow ใช้สร้าง Chatbots อัจฉริยะ, Amazon Lex / Microsoft Azure Bot Service ระบบ AI Assistant สำหรับธนาคาร, Nuance / Pindrop ใช้ Voice Recognition เพื่อระบุตัวตนลูกค้า
- ระบบ Automated Loan & Credit Scoring AI ช่วยอนุมัติสินเชื่ออัตโนมัติ โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ นอกจากเครดิตสกอร์ วิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแบบแม่นยำ โดยพิจารณาพฤติกรรมการใช้จ่าย ตัวอย่างระบบที่ใช้ ZestFinance / Upstart ใช้ AI วิเคราะห์เครดิตและอนุมัติสินเชื่ออัตโนมัติ, Experian Boost / Equifax AI ใช้ AI คำนวณเครดิตสกอร์โดยพิจารณาปัจจัยที่หลากหลาย, FICO Xpress Optimization ใช้ AI วิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้า
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เหล่านักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2027-2028) การเปลี่ยนแปลงของ AI และเทคโนโลยีทางการเงินจะชัดเจนมากขึ้น และธนาคารที่ไม่ปรับตัว อาจไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป 1. สาขาธนาคารจะหายไป 80% (The Death of Bank Branches) สาขาธนาคารแบบดั้งเดิมจะถูกลดจำนวนลง เนื่องจาก ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทุกอย่างผ่าน AI และแอป, ATM & Kiosk อัจฉริยะ จะเข้ามาแทนที่ธนาคารบางส่วน ลูกค้าสามารถถอนเงิน, ฝากเงิน, ขอสินเชื่อผ่านเครื่องอัตโนมัติ, Metaverse Banking จะเกิดขึ้น ธนาคารจะให้บริการในโลกเสมือนที่ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับ AI Banker ได้ ผลกระทบคือ ลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปธนาคาร, ค่าดำเนินการลดลง ธนาคารทำกำไรสูงขึ้น แต่พนักงานสาขาถูกลดจำนวนลง (งานหายไปเป็นล้านตำแหน่ง) ตัวอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว: JPMorgan & HSBC เริ่มปิดสาขาธนาคารในหลายพื้นที่ และย้ายไปให้บริการผ่านดิจิทัล 100%, Bank of America ทดสอบ AI Kiosk ที่ให้บริการแทนพนักงาน
สอง ระบบ AI แนะนำและบริหารเงินให้เราแบบอัตโนมัติ (AI-Driven Personal Finance & Robo-Advisors) AI จะเข้ามาจัดการเงินให้เราโดยอัตโนมัติ เช่น ลงทุน, ชำระค่าบัตรเครดิต, ออมเงินตามเป้าหมาย, ระบบ AI Investment Advisor จะแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล, ลูกค้าจะสามารถ วางแผนเกษียณ, คำนวณภาษี, และบริหารสินทรัพย์ ได้ด้วย AI ผลกระทบก็คือ คนทั่วไปสามารถลงทุนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องหุ้นหรือการเงิน, AI จะให้คำแนะนำที่แม่นยำกว่ามนุษย์ เพราะวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ แน่นอนนักวางแผนการเงินแบบดั้งเดิมอาจถูกลดบทบาท ตัวอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว: Wealthfront & Betterment ใช้ Robo-Advisor แนะนำการลงทุนโดยอัตโนมัติ, BlackRock AI ใช้ AI วิเคราะห์ตลาดและลงทุนอัตโนมัติ
สาม ระบบการชำระเงินแบบ AI (AI-Powered Payments & CBDC Adoption) Digital Wallet + AI จะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่มีใครใช้บัตรเครดิตหรือเงินสดอีกต่อไป, AI Payments จะช่วยเลือกช่องทางชำระเงินที่ดีที่สุด (เช่น Crypto, CBDC, หรือ Stablecoin), ธนาคารกลางหลายประเทศจะเปิดตัว CBDC (Central Bank Digital Currency) อย่างเต็มรูปแบบ ผลกระทบก็คือ การทำธุรกรรมจะเร็วขึ้น ค่าใช้จ่ายถูกลง, อัตราการฉ้อโกงลดลงเพราะใช้ AI ตรวจสอบแบบเรียลไทม์ แต่บริษัทบัตรเครดิตแบบดั้งเดิมอาจสูญเสียตลาด ตัวอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว: จีน (Digital Yuan) & EU (Digital Euro) กำลังพัฒนา CBDC, Visa & Mastercard เริ่มรองรับ Crypto และ AI-Based Payments
สี่ AI จะแทนที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อและฝ่ายบริหารความเสี่ยง 90% (AI-Powered Lending & Risk Management) AI จะสามารถอนุมัติสินเชื่อได้ในไม่กี่วินาที โดยใช้ข้อมูลจาก Social Media, พฤติกรรมใช้เงิน, และการใช้จ่ายออนไลน์, ลูกค้าที่ไม่มีเครดิตสกอร์จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น AI จะคำนวณความเสี่ยงของแต่ละบุคคลแม่นยำกว่า Credit Score แบบเก่า ผลกระทบก็คือ คนทั่วไปสามารถกู้เงินได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้เอกสาร, หนี้เสียลดลง เพราะ AI ประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น แต่เจ้าหน้าที่อนุมัติสินเชื่ออาจตกงานเกือบทั้งหมด ตัวอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว: ZestFinance & Upstart ใช้ AI แทนที่ระบบเครดิตสกอร์แบบเก่า, Ant Financial ใช้ AI วิเคราะห์เครดิตจากพฤติกรรมออนไลน์
ห้า AI จะเป็นเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ที่ล้ำหน้าขึ้น (AI Cybersecurity & Anti-Fraud Systems) AI + Quantum Computing จะช่วยเข้ารหัสข้อมูลทางการเงินให้ปลอดภัยขึ้น AI จะสามารถ ตรวจจับ Deepfake Fraud และ Social Engineering Attacks ได้แบบเรียลไทม์ Zero Trust Security Model จะถูกใช้แพร่หลาย ธนาคารจะตรวจสอบทุกธุรกรรมแบบอัตโนมัติ ผลกระทบก็คือ การฉ้อโกงและการโจมตีทางไซเบอร์ลดลงอย่างมาก, ลูกค้าได้รับการปกป้องจากภัยไซเบอร์มากขึ้น แต่แฮกเกอร์ก็จะใช้ AI โจมตีธนาคารแบบอัตโนมัติเช่นกัน ตัวอย่างที่เริ่มเกิดขึ้นแล้ว: Mastercard & Visa ใช้ AI ตรวจจับธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์, Darktrace & IBM Watson Security ใช้ AI ป้องกันการโจมตีไซเบอร์
อนาคตธนาคารใน 3 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร? ไม่มีสาขาธนาคารอีกต่อไป ทุกอย่างจะอยู่บนดิจิทัลและ Metaverse AI จะเป็นผู้จัดการการเงินของเรา ไม่ต้องมีนักวางแผนการเงินอีกต่อไป CBDC & Crypto จะเป็นมาตรฐาน ไม่มีเงินสดและบัตรเครดิตอีกแล้ว AI จะควบคุมระบบสินเชื่อทั้งหมด กู้เงินง่ายขึ้น แต่ทุกอย่างจะถูกตรวจสอบแบบเรียลไทม์ Cybersecurity จะล้ำหน้า แต่ภัยไซเบอร์ก็ซับซ้อนขึ้น “AI จะทำให้ธนาคารมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่จะมีงานจำนวนมากที่หายไป และใครที่ไม่ปรับตัวอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
บทสรุปนี้อาจโหดร้ายกับบางคน แต่ผู้บริโภคอาจจะหน้าชื่นตาบาน เพราะบริการจะดีขึ้น เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น คราวนี้ก็อยู่ที่ธนาคารไทยแล้วว่าจะอยู่เฉยๆ หรือปรับตัว