ชูจุดแข็ง 5Ss ปั้นยอดโตมากกว่า 10% พร้อมผลักดันการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน
เอปสัน ประเทศไทย แถลงผลดำเนินงานปี 64 ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทและโปรเจคเตอร์ เพื่อตอบโจทย์ตลาด B2B พร้อมเน้นจุดแกร่ง 5Ss สร้างการเติบโตมากกว่า 10% และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนภายในองค์กร
“บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น 9% ซึ่งมาจากการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของ 2564 เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจ ทั้งการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามวัฏจักรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและไทย รวมทั้งได้รับแรงหนุนจากกระแส Digital Transformation การที่สถาบันศึกษากลับมาเปิดทำการเป็นปกติในบางช่วง รวมไปถึงการออกมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการใช้เงินกู้ในโครงการต่างๆ อีกทั้งภาคการผลิตในไทยยังเริ่มหันมาใช้ระบบซัพพลายเชนภายในประเทศเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้มีการลงทุนด้านไอทีในประเทศเพิ่มขึ้น” ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2564
ในปี 2564 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินกลยุทธ์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขยายทีมขายและทีมบริการลูกค้า B2B ในกรุงเทพและต่างจังหวัด และทีมพิเศษที่เน้นเจาะลูกค้าองค์กรญี่ปุ่น โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งยังได้เพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะตลาด B2B และได้ฝึกอบรมตัวแทนเดิมให้สามารถขยายธุรกิจไปยังตลาด B2B ได้ ในด้านการขาย บริษัทฯ ได้ใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาสนับสนุนการขายลูกค้าองค์กรธุรกิจ ทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ เอปสันยังคงนำเข้าสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า โดยที่สินค้าใหม่จะมีจุดขายพิเศษและแตกต่างจากแบรนด์อื่นในด้านความมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรขนาดใหญ่ให้ความสำคัญอย่างจริงจังในขณะนี้
ส่วนการตลาด ได้มีการจัดกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 200 กิจกรรม เพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่มากขึ้นและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเดิม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรณรงค์เรื่องความยั่งยืน ผ่านการใช้เทคโนโลยี Heat-Free ของเอปสันที่ไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการพิมพ์ ซึ่งช่วยลดความร้อนในที่ทำงาน ลดค่าไฟ ลดค่าซ่อมบำรุง และลดชิ้นส่วนสิ้นเปลืองได้มากกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทระบบแท็งค์ เอปสันยังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 46% ในด้านมูลค่า และ 43% ในด้านจำนวนเครื่องที่ขายได้ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 18% นอกจากนี้ ในกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสารอิงค์เจ็ทระบบหมึกความจุสูง ยังขายเครื่องได้เพิ่มขึ้น 30% เป็นเพราะปัจจุบันเริ่มมีบริษัทเอกชนจำนวนเพิ่มขึ้นที่ตระหนักถึงการลดการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเปลี่ยนจากการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์และเครื่องถ่ายเอกสารมาเป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ซึ่งเทรนด์นี้น่าจะยังคงเติบโตต่อไป
ส่วนในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ เครื่องพิมพ์ฉลากที่เติบโตมากที่สุดที่ 63% ปัจจุบันโรงพิมพ์ได้รับออเดอร์ในรูปแบบดิจิทัลออนดีมานด์มากขึ้น เพราะลูกค้าไม่ต้องการสต๊อกฉลากแบบเดียวไว้จำนวนมากเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล คลินิก หรือสตาร์ทอัพผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและอาหารเสริมก็หันมาลงทุนกับเครื่องพิมพ์ประเภทนี้กันมากขึ้น ตามมาด้วยเครื่องพิมพ์ป้ายโฆษณา ที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว เพราะทั้งศูนย์การค้า ร้านค้า และธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและรีโนเวทหน้าร้านมากขึ้น เติบโต 21%
สำหรับยอดขายของผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ในปีที่ผ่านมา ในส่วนของโปรเจคเตอร์ธุรกิจฟื้นตัวกลับมาโตที่ 11% ส่วนหนึ่งมาจากการที่สถาบันการศึกษา บริษัท และหน่วยงานต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดดำเนินงานอีกครั้ง นอกจากนี้ ในกลุ่มโฮมโปรเจคเตอร์ก็มีสัญญาณที่ดี เพราะในช่วงโควิด มีลูกค้าจำนวนมากที่หันมาลงทุนทำโฮมเธียเตอร์ระดับไฮเอนด์ สำหรับรับชมภาพยนตร์และเล่นเกมบนจอภาพขนาดยักษ์ด้วยภาพฉายคุณภาพสูง ซึ่งเอปสันเริ่มมีสินค้าใหม่เข้ามารองรับตลาดกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นแล้ว
สุดท้ายคือผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์แขนกล ซึ่งในปี 2564 มียอดขายเติบโตขึ้นมากกว่า 60% โดยลูกค้าหลักยังอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ ปัจจัยที่หุ่นยนต์แขนกลของเอปสันได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างมาก เนื่องจากเอปสันอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 40 ปี มีการทำ R&D อยู่ตลอดเวลา หุ่นยนต์ของเอปสันมีความแม่นยำสูง สามารถใช้งานได้ดีในหลายอุตสาหกรรม ที่สำคัญ มีการบำรุงรักษาค่อนข้างต่ำมาก และมี Down Time ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ทิศทางธุรกิจในปีงบประมาณ 2565 ของเอปสัน ประเทศไทย ว่า “ในปีนี้ ตลาดไอทียังอยู่ท่ามกลางหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวค่อนข้างมาก ทั้งสถานการณ์โควิดที่ยังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก และโรงงานชิปเซมิคอนดักเตอร์ไม่สามารถผลิตป้อนได้ทันตามการเติบโตของดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น บวกกับภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ทั้งยังเกิดสงครามที่ยูเครน ซึ่งกระทบกระเทือนเศรษฐกิจไทย ทำให้ค่าน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงจีดีพีของประเทศอาจจะมีการปรับลดลง
ปัจจัยเหล่านี้รบกวนระบบซัพพลายเชนทั่วโลก ทำให้กระบวนการผลิตสินค้าหลายรายการชะลอตัว ต้นทุนจากการผลิตและขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะปรับลดการใช้จ่ายและการลงทุนใหม่ ท่ามกลางภาวะการณ์เช่นนี้ เอปสันต้องยืดหยุ่นและรวดเร็วในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น พร้อมกับวางกลยุทธ์ที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้ามากที่สุด