ขณะที่ทั่วโลกกำลังรณรงค์ให้ปลูกต้นไม้ รักษาผืนป่าสีเขียวไว้ให้มากที่สุด ส่วนหนึ่งช่วยกรองฝุ่น ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ เพื่อชะลอภาวะเรือนกระจก บรรเทาภาวะโลกเดือด ฯลฯ แต่ต้องไม่ใช่กับที่นี่…ที่อาร์กติก
พื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ ดินแดนที่มีหิมะและชั้นดินเยือกแข็งถาวร (Permafrost) ปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี วันนี้ช่วงของฤดูหนาวที่สั้นลง อากาศที่อบอุ่นขึ้น นอกจากเป็นผลให้ชั้นดินเยือกแข็งเริ่มละลาย เปิดโอกาสให้แบคทีเรียที่ถูกแช่แข็งฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ผู้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พบการบุกรุกของบางสิ่งเป็นแนวยาวสีเขียวท่ามกลางผืนหิมะสีขาวโพลน บริเวณเทือกเขาบรูคส์ ทางตอนเหนือของรัฐอะแลสกา
ประเด็นดังกล่าวเปิดเผยเมื่อฤดูร้อนปี 2019 เมื่อโรมัน ไดอัล นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยอะแลสกาแปซิฟิก และเพื่อนคือ แบรด ไมเคิล ตัดสินใจเดินทางไปยัง Kotzebue ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอะแลสกา ค้นหาคำตอบสิ่งที่เห็นผ่านภาพถ่ายดาวเทียม
แล้วทั้งสองก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า บนพื้นที่ที่ลมแรงและเต็มไปด้วยความหนาวเย็นตลอดทั้งปี กลับพบทุ่งสนขาว (White spruce trees) สูงเท่าอกยืนต้นเป็นทิวแถว!
ไมเคิลบอกว่า บางคนอาจจะมองว่าก็แค่ต้นสนไม่กี่ต้น แต่อย่าลืมว่ามันเป็นไม้พุ่มที่อายุยืน นั่นหมายความว่าสภาพภูมิอากาศไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนแปลงใน 5 ปี หรือ 10 ปี แต่เกิดขึ้นราว 30 ปีนับตั้งแต่ต้นสนเหล่านี้ปักหลักหยั่งรากลงบนพื้นที่ตรงนี้
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Arctic greening เกิดจากการที่สภาพอากาศอุ่นเร็วขึ้นกว่าพื้นที่อื่นในโลกถึง 4 เท่า
น่าสนใจว่าพืชสายพันธุ์ดังกล่าวเติบโตบนพื้นที่แร้นแค้นเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไดอัล วิเคราะห์ว่า เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต้นสนเหล่านี้จึงพยายามดึงสารอาหารจากดินขึ้นมาหล่อเลี้ยงต้น แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาวะโลกร้อนทำให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในดินฟื้นตัวและเติบโตขึ้น จึงกลายเป็นสารอาหารที่ต้นไม้เหล่านี้ใช้ยังชีพ
การมีขึ้นของต้นไม้สีเขียวไม่เพียงบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่อุ่นขึ้น ขณะเดียวกันต้นไม้ที่เกิดขึ้นก็เป็นตัวช่วยดูดซับความร้อนด้วย หรืออธิบายง่ายๆ จากเดิมสีขาวของพื้นดินที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งทำหน้าที่สะท้อนความร้อนคืนสู่ท้องฟ้า ต่อเมื่อมีต้นไม้เพิ่มมากขึ้น สีเขียวกลับดูดซับความร้อนนั้นเก็บไว้ในชั้นดิน ทำให้พื้นน้ำแข็งละลายเร็วขึ้นและโลกอุ่นขึ้น
ทว่า สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลมากไปกว่านั้นคือ การละลายของชั้นดินเยือกแข็งถาวรทำให้อินทรีย์วัตถุที่ตายแล้วและถูกแช่แข็งมานานเริ่มสลายตัว ปลดปล่อยทั้งคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีฤทธิ์รุนแรงมากขึ้น
ไดอัลเล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า ขณะนี้ชั้นดินเยือกแข็งถาวรกำลังละลายอย่างรวดเร็วจนแผ่นดินอาร์กติกพังทลาย ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ถูกปลดปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ อีกทั้งพืชพรรณไม้ที่มากขึ้นยังหมายถึงเชื้อเพลิงสำหรับไฟป่ามีมากขึ้น เพราะเมื่ออาร์กติกเขียวขจีและอบอุ่นขึ้น ก็เกิดพายุฝนฟ้าคะนองมากขึ้น ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ามากขึ้น
ที่น่าเป็นห่วงคือ ไฟป่าในอาร์กติกไม่เพียงทำให้ชั้นดินเยือกแข็งอุ่นขึ้นและละลายอย่างรวดเร็วจนแผ่นดินยุบตัวเป็นหลุมอุกกาบาต ไฟป่ายังเผาไหม้พื้นที่ที่มีคาร์บอนสูง เกิดเป็นไฟที่ลุกไหม้ต่อเนื่องยาวนาน คุกรุ่นอยู่ใต้ดินตลอดฤดูหนาว และจะปะทุขึ้นอีกครั้งบนพื้นผิวเมื่อหิมะละลาย นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ไฟซอมบี้”
เหตุนี้ ต้นสนขาวและพืชพรรณอื่นๆ ในอาร์กติกอาจฟังดูสวยงาม แต่ความจริงแล้ว ความเขียวชอุ่มที่เกิดขึ้นนั้นกลับสร้างความกังวลใจและซ่อนความน่ากลัวกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก จนอาจกล่าวได้ว่าเค้าลางความหายนะนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น.