แท็กซี่ไร้คนขับ ขั้นกว่ารถยนต์ไร้คนขับ อนาคตไม่ไกลเกินเอื้อม

Share

 

รถยนต์กำลังถูกท้าทายด้วยระบบไร้คนขับ นั่นยังไม่พอเพราะโลกกำลังมีบริการแท็กซี่ไร้คนขับเข้ามาอีก เรื่องวุ่นๆ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ทำให้การเดินทางปลอดภัย แม่นยำ และค่าบริการสมเหตุสมผลเท่านั้น แต่โมเดลการทำธุรกิจของแท็กซี่ไร้คนขับที่มีปาร์ตี้เข้ามามากมายเกินไป ทำให้ความกำลังสร้างดราม่าเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ปัญหาของโมเดลธุรกิจในบริการแชร์รถและโซเชียลมีเดีย ที่ปัจจุบัน Uber และ Lyft ผู้ริเริ่มโครงการ ให้ความสำคัญกับผู้โดยสารมากกว่าคนขับ เช่นเดียวกับที่โซเชียลมีเดียให้ความสำคัญกับผู้ลงโฆษณามากกว่าผู้ใช้ ปัญหาเกิดจากการที่ผู้ให้บริการไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นลูกค้าหลัก ทำให้พวกเขาถูกมองเป็น “ต้นทุน” มากกว่าทรัพยากรที่มีคุณค่า เพราะปาร์ตี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องมีมากเกินไป ไม่เหมือนกับระบบเดิมที่มีแค่คนขับรถ กับผู้โดยสาร

สิ่งที่ตามมาคือ เมื่อมีระบบแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) ผลกระทบที่จะตามมาก็คือ Robotaxi อาจช่วยให้ Uber/Lyft มุ่งเน้นที่ผู้โดยสารได้มากขึ้น โดยลดปัญหาการปฏิบัติต่อคนขับแบบเดิม อย่างไรก็ตาม คนขับที่ใช้แพลตฟอร์มเพื่อหารายได้จะได้รับผลกระทบ เพราะพวกเขาจะไม่สามารถแข่งขันกับรถที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้ มีความเป็นไปได้ที่เจ้าของรถอาจต้องซื้อและบำรุงรักษารถยนต์ไร้คนขับเอง คล้ายกับโมเดล B&B แต่มีความท้าทายด้านต้นทุนและโครงสร้างพื้นฐาน

ความท้าทายของเทคโนโลยี Robotaxi นั้น ปัจจุบันยังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สถานีชาร์จอัตโนมัติ หรือโซลูชันการซ่อมบำรุงที่เหมาะสม การใช้งานจะเริ่มต้นในเมืองก่อน ส่วนการเดินทางระยะไกลอาจต้องใช้คนขับไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนผลกระทบต่อแรงงาน แม้ AI จะช่วยให้บริการมีราคาถูกลงและสะดวกขึ้น แต่จะส่งผลให้คนขับจำนวนมากต้องตกงาน, งานใหม่ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ควบคุมแท็กซี่ไร้คนขับจากระยะไกล อาจต้องการพนักงานน้อยกว่ามาก ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ข้อสรุปช่่วงนี้คือ Robotaxi อาจช่วยแก้ปัญหารายได้ที่แยกจากกัน ทำให้แพลตฟอร์มมุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้บริการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้แรงงานจำนวนมากต้องหางานใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขในอนาคต

อนาคตอันใกล้ของอุตสาหกรรมแชร์รถและแท็กซี่ไร้คนขับน่าจะมีแนวโน้มดังต่อไปนี้ 1.การเปลี่ยนผ่านสู่แท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) อย่างค่อยเป็นค่อยไป ระยะสั้น (1-3 ปี): บริการแท็กซี่ไร้คนขับจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในเขตเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบรองรับ เช่น ซานฟรานซิสโกหรือบางเมืองในจีนระยะกลาง (3-5 ปี): Uber/Lyft อาจเริ่มเป็นเจ้าของกองยานของตัวเอง หรือเปิดให้เจ้าของรถลงทุนในรถไร้คนขับเพื่อหารายได้ จะเกิดการขยายการให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับสู่เมืองอื่นและพื้นที่ชานเมือง, ระบบ AI จะพัฒนาให้เข้าใจและตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น คนข้ามถนนกะทันหัน หรือการซ่อมถนนที่ไม่มีในแผนที่

ระยะยาว (5+ ปี): หากเทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วพอ อาจมีการขยายบริการสู่การเดินทางระหว่างเมือง โดยไม่ต้องมีคนควบคุมจากระยะไกล และลดจำนวนพนักงานขับรถลงอย่างมาก นั่นคือการขยับไปสู่ Level 5 ที่การขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่)

2.ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน คนขับร่วมโดยสารจำนวนมากจะตกงาน และอาจต้องเปลี่ยนไปทำงานด้านอื่น เช่น ควบคุมรถจากระยะไกล (Remote Vehicle Operator) หรือซ่อมบำรุงยานพาหนะอัตโนมัติ, การแข่งขันจะสูงขึ้นในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และการบำรุงรักษายานพาหนะอัจฉริยะ จำนวนพนักงานขับรถจะลดลงอย่างมาก แต่จะเกิดอาชีพใหม่ เช่น Remote Vehicle Operators (ควบคุมจากระยะไกล), AI Trainers (ฝึก AI ให้ขับดีขึ้น), และ Technicians (ซ่อมบำรุงรถยนต์อัจฉริยะ)

3.การปรับตัวของแพลตฟอร์ม (Uber, Lyft ฯลฯ) แพลตฟอร์มอาจลดบทบาทของคนขับโดยเน้นการให้บริการแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ, อาจมีการสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จอัตโนมัติและศูนย์ซ่อมบำรุงที่รองรับ Robotaxi หรืออาจมีโมเดลใหม่ เช่น ให้บุคคลทั่วไปซื้อและปล่อยให้แพลตฟอร์มบริหารจัดการรถแท็กซี่ไร้คนขับ

4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความต้องการสถานีชาร์จอัตโนมัติจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก, เทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบสลับแบตเตอรี่อาจถูกเร่งพัฒนาเพื่อรองรับยานพาหนะไร้คนขับ, ระบบจราจรและกฎระเบียบเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับจะต้องมีการปรับปรุง, การสื่อสาร V2X (Vehicle-to-Everything) รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถสื่อสารกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สัญญาณไฟจราจร และรถคันอื่นๆ เพื่อปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์, Smart Cities & Data Integration โดยเมืองจะเริ่มลงทุนในระบบถนนอัจฉริยะ ที่สามารถส่งข้อมูลสภาพการจราจร, อุบัติเหตุ หรือพื้นที่ก่อสร้างไปยังรถยนต์อัตโนมัติแบบเรียลไทม์

5.ประสบการณ์ของผู้บริโภค ค่าโดยสารอาจถูกลง เนื่องจากไม่มีต้นทุนคนขับ, การเดินทางจะสะดวกขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนขับหรือการสื่อสาร, AI อาจถูกพัฒนาให้สามารถโต้ตอบและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้โดยสาร เช่น การสนทนา หรือการให้ข้อมูลการเดินทาง 6.ปัจจัยที่อาจชะลอการเปลี่ยนแปลง ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี เช่น การขับขี่อัตโนมัติในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน, ปัญหาด้านกฎหมายและกฎระเบียบ ซึ่งอาจทำให้บางประเทศหรือเมืองชะลอการอนุญาตให้ใช้ Robotaxi, การต่อต้านจากแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันทางการเมือง

ในแง่ของโมเดลธุรกิจของแท็กซี่ไร้คนขับ รูปแบบการให้บริการจาก Fleet-Based ไปสู่ Personal Ownership: ในปัจจุบัน Robotaxi ส่วนใหญ่เป็นของบริษัทใหญ่ๆ เช่น Waymo, Cruise แต่ในอนาคต อาจมีโมเดลที่ให้บุคคลทั่วไปซื้อรถยนต์ไร้คนขับและปล่อยให้ระบบบริหารจัดการเพื่อสร้างรายได้ คล้ายกับ Airbnb แต่สำหรับรถยนต์, Subscription Model: Uber/Lyft อาจเปลี่ยนไปใช้โมเดลสมัครสมาชิกแทนการจ่ายต่อเที่ยว เช่น $200 ต่อเดือนสำหรับเดินทางไม่จำกัด

วิสัยทัศน์ในอนาคต รถยนต์ไร้คนขับที่เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี VTOL (Vertical Takeoff and Landing) อาจมีการผสมผสานระหว่าง Robotaxi กับ แท็กซี่บินได้ โดยใช้เครื่องบินขึ้นลงแนวตั้ง (VTOL) เพื่อลดปัญหาจราจร, Integration กับ AI เชิงสนทนา (Conversational AI), ผู้โดยสารอาจสามารถสนทนาและสั่งงานรถผ่าน AI เช่น “แวะซื้อกาแฟก่อนถึงจุดหมาย”, Smart Mobility-as-a-Service (MaaS) ระบบขนส่งอัจฉริยะที่เชื่อมโยงรถยนต์ไร้คนขับ, รถไฟฟ้า, และบริการขนส่งสาธารณะ ให้เป็นโซลูชันการเดินทางที่ไร้รอยต่อ

ความท้าทายที่ต้องแก้ไข ประกอบด้วย ปัญหาด้านกฎหมายและข้อบังคับ หลายประเทศยังไม่มีข้อกำหนดที่รองรับรถยนต์ไร้คนขับแบบสมบูรณ์ ต้องมีการกำหนดความรับผิดชอบหากเกิดอุบัติเหตุ, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ แม้ว่ารถยนต์ไร้คนขับจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ในหลายกรณี แต่ผู้โดยสารอาจยังไม่ไว้วางใจระบบ AI อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวและทดสอบจนเกิดความมั่นใจ, การโจมตีทางไซเบอร์ รถยนต์ไร้คนขับเป็นเป้าหมายของการแฮ็ก การโจมตีอาจนำไปสู่การจารกรรมข้อมูลหรือการควบคุมรถจากระยะไกล

สรุปในอนาคตอันใกล้ แท็กซี่ไร้คนขับจะค่อยๆ เข้ามาแทนที่บริการแชร์รถแบบดั้งเดิม โดยเริ่มจากเขตเมืองใหญ่ คนขับอาจสูญเสียงานจำนวนมาก แต่จะมีโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้

 

Related Articles