มีเรื่องร้องเรียนในต่างประเทศ อยู่ดีๆ ก็มีโฆษณาโผล่ขึ้นมาบนจอรถยนต์สมาร์ทคาร์ ขณะที่ขับขี่รถยนต์ติดไฟแดง โฆษณาระบุโปรโมชั่นเมื่อไปเข้าอู่ ถ้าคุณเป็นคนขับรถธรรมดา ฟังโฆษณาจากรายการวิทยุที่ฟังอยู่อาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้ารถยนต์รุ่นใหม่ที่เริ่มมี AI มาอยู่ในระบบปฏิบัติการในรถของคุณ รู้พฤติกรรมการขับรถของคุณอย่างดี และพร้อมจะดึงโฆษณาที่ตรงกับคุณมากที่สุด คุณจะทำอย่างไรดีหละ
จริงๆ ข่าวร้องเรียนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความสะดวกสบายของเทคโนโลยีในรถยนต์กับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในรูปแบบของโฆษณาที่ปรากฏบนหน้าจอของผู้ขับขี่
ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์บางรายได้เริ่มนำโฆษณาและบริการเสริมเข้ามาในระบบสาระบันเทิงภายในรถยนต์ของตนแล้ว เช่น Jeep: มีรายงานว่าผู้ขับขี่ Jeep บางรายพบโฆษณาโปรโมชั่นสำหรับแผนการรับประกันแบบขยายเวลาปรากฏขึ้นบนหน้าจอกลางขณะขับขี่, Ford: ได้ยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับระบบโฆษณาอัจฉริยะที่สามารถแสดงโฆษณาบนหน้าจอสาระบันเทิงภายในรถ โดยเลือกโฆษณาให้สอดคล้องกับคำพูด พื้นที่ หรือแม้แต่อารมณ์ของบทสนทนาภายในรถ
แนวโน้มในอนาคตโฆษณาสำหรับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็ยิ่งเป็นไปได้สูง ด้วยความที่รถยนต์ไฟฟ้ามักมาพร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและระบบสาระบันเทิงที่ทันสมัย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะนำโฆษณาและบริการเสริมเข้ามาใช้ในรถยนต์ของตน เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมและมอบประสบการณ์ที่ปรับแต่งให้กับผู้ขับขี่
มองในมุมของแรงจูงใจของผู้ผลิตรถยนต์ การสร้างรายได้จากซอฟต์แวร์และบริการเสริม ถือเป็น การทำธุรกิจรถยนต์ที่กำลังเปลี่ยนไปจากการขายเพียงตัวรถเพียงอย่างเดียว มาเป็นการสร้างรายได้จากบริการที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น การสมัครสมาชิกเพื่อปลดล็อกฟีเจอร์ หรือโฆษณาที่ปรากฏในรถยนต์ แนวคิด “รถยนต์เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัล” นั้น ผู้ผลิตมองว่ารถยนต์จะกลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถใช้โฆษณาและขายสินค้าหรือบริการเพิ่มเติมได้ เช่นเดียวกับสมาร์ทโฟน
มองในมุมปฏิกิริยาของผู้บริโภค ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่พอใจกับโฆษณาที่โผล่ขึ้นมาระหว่างขับรถ โดยเฉพาะถ้ามันรบกวนสมาธิ หรือดูเหมือนเป็นการ “บังคับขาย” มีตัวอย่างจาก BMW ที่เคยพยายามเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับการใช้เครื่องทำความร้อนในเบาะ ซึ่งก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจนต้องยกเลิก ปัจจุบัน ผู้ขับขี่เริ่มระมัดระวังเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวที่ถูกรวบรวมและนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ในด้านความกังวลด้านความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเตือนว่าหน้าจอที่แสดงโฆษณาขณะขับขี่อาจเป็นอันตราย เนื่องจากดึงความสนใจออกจากถนน และการเสียสมาธิเพียงไม่กี่วินาทีอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้
แนวโน้มในอนาคต 1. โฆษณาในรถยนต์อาจเพิ่มขึ้น แม้ว่าผู้ขับขี่จะไม่ชอบโฆษณา แต่ผู้ผลิตอาจยังคงผลักดันแนวคิดนี้ เพราะมันเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล เราอาจเห็นโฆษณาที่ “ชาญฉลาดขึ้น” เช่น ข้อเสนอเฉพาะบุคคลตามตำแหน่งที่ตั้งของรถ หรือพฤติกรรมการขับขี่ 2. กฎระเบียบอาจเข้ามาควบคุม หากโฆษณาในรถยนต์ถูกมองว่าเป็นปัญหาด้านความปลอดภัย หน่วยงานกำกับดูแล เช่น NHTSA (ในสหรัฐฯ) อาจต้องออกกฎหมายจำกัดการใช้โฆษณาขณะขับขี่ และมีความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมจะถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนแนวทาง เช่น แสดงโฆษณาเฉพาะเมื่อรถจอดอยู่เท่านั้น
3.ผู้บริโภคอาจเลือกใช้รถยนต์ที่ “ไม่มีโฆษณา” หากรถยนต์บางแบรนด์ใช้โฆษณาอย่างหนัก ผู้บริโภคอาจหันไปซื้อรถที่ไม่มีโฆษณาหรือให้ตัวเลือก “จ่ายเงินเพื่อปิดโฆษณา” ผู้ผลิตที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับความเป็นส่วนตัวของผู้ขับขี่ อาจได้รับความนิยมมากกว่า 4. เทคโนโลยีและ AI อาจทำให้โฆษณาเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยผู้ผลิตอาจพัฒนา AI ที่ช่วยเลือกโฆษณาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เช่น แนะนำร้านกาแฟระหว่างทาง หรือเสนอส่วนลดน้ำมันตามปั๊มที่อยู่ใกล้เคียง ระบบนี้อาจใช้ข้อมูลจาก GPS, พฤติกรรมการขับขี่ และการสมัครสมาชิกบริการต่างๆ มาประกอบ
สรุปแล้วการนำโฆษณามาสู่รถยนต์เป็นแนวโน้มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ความสำเร็จของแนวคิดนี้จะขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตสามารถทำให้มันเป็นประโยชน์โดยไม่รบกวนผู้ขับขี่ได้หรือไม่ หากโฆษณาทำให้เกิดความรำคาญหรือเสี่ยงต่อความปลอดภัย กฎระเบียบและปฏิกิริยาของผู้บริโภคอาจบีบให้ผู้ผลิตต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
ลองคิดต่อว่า ถ้ารถยนต์มีโฆษณา รายได้จะตกกับใคร คนผลิตแอป เจ้าของค่ายรถยนต์ หรืออื่นๆ ดูดีดีแล้ว ถ้ารถยนต์มีโฆษณา รายได้ที่เกิดขึ้นจะแบ่งไปยังหลายฝ่าย ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางธุรกิจและข้อตกลงระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ได้แก่
- เจ้าของค่ายรถยนต์ (OEM – Original Equipment Manufacturer) ค่ายรถยนต์เป็นผู้ควบคุมแพลตฟอร์มและระบบสาระบันเทิงภายในรถ ทำให้พวกเขาสามารถเป็นเจ้าของพื้นที่โฆษณา พวกเขาอาจได้รับ รายได้จากโฆษณาโดยตรง ผ่านการขายพื้นที่โฆษณาให้กับแบรนด์ภายนอก หรืออาจสร้าง โมเดลสมัครสมาชิก (subscription) เช่น บริการพรีเมียมแบบไม่มีโฆษณา เช่น Tesla อาจนำเสนอแพ็คเกจบริการอินโฟเทนเมนต์แบบชำระเงินเพื่อปิดโฆษณา
- ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และผู้พัฒนาแอปในรถ ถ้าระบบสาระบันเทิงของรถยนต์ใช้ แพลตฟอร์มบุคคลที่สาม เช่น Google Android Automotive หรือ Apple CarPlay เจ้าของแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจได้รับส่วนแบ่งรายได้จากโฆษณาที่แสดงบนแอป ตัวอย่างเช่น Google อาจแสดงโฆษณาใน Google Maps หรือ YouTube Music ในรถยนต์ที่ใช้ Android Automotive และเก็บค่าธรรมเนียมจากนักโฆษณา
- แพลตฟอร์มโฆษณา (Ad Networks & DSP – Demand Side Platforms) บริษัทที่ให้บริการโฆษณา เช่น Google Ads, Meta Ads หรือบริษัทเฉพาะทางด้านโฆษณาในรถยนต์ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์โฆษณากับเจ้าของแพลตฟอร์มในรถยนต์ โดยเก็บค่าธรรมเนียมการดำเนินการ
- นักโฆษณา (Advertisers & Brands) บริษัทต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน หรือบริการสตรีมมิ่ง อาจต้องจ่ายเงินให้กับแพลตฟอร์มของค่ายรถยนต์หรือผู้ให้บริการโฆษณา เพื่อให้โฆษณาของพวกเขาไปแสดงบนหน้าจอของรถยนต์ 5. ดีลเลอร์รถยนต์ และบริการเสริม ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อาจใช้ช่องทางนี้เพื่อขายประกันภัย บริการซ่อมบำรุง หรือแพ็กเกจเสริม เช่น การรับประกันเพิ่มเติม
แนวโน้มในอนาคต โมเดลแบ่งรายได้แบบใหม่ อาจเกิดขึ้น เช่น “Ad-Supported Cars” → รถยนต์ราคาถูกลงแต่มีโฆษณา เช่นเดียวกับสมาร์ททีวีหรือบริการสตรีมมิ่ง, “Pay to Remove Ads” → เจ้าของรถต้องจ่ายเงินเพื่อปิดโฆษณา (โมเดลคล้าย Spotify หรือ YouTube), AI และข้อมูลส่วนบุคคลอาจมีบทบาทมากขึ้น ระบบ AI อาจเลือกโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เช่น แนะนำคาเฟ่หรือร้านอาหารใกล้เคียงตามพฤติกรรมการขับรถ
ข้อดีและข้อเสียของโฆษณาในรถยนต์ ข้อดีก็คือ รายได้เพิ่มเติมให้ค่ายรถยนต์ ทำให้สามารถลดราคาค่าตัวรถได้, นักโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้ขับขี่ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ข้อเสียก็คือ โฆษณาอาจรบกวนสมาธิของผู้ขับขี่ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และข้อกังวลเรื่อง ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากข้อมูลการเดินทางอาจถูกใช้เพื่อกำหนดโฆษณา
บทสรุปสุดท้ายก็คือ รายได้จากโฆษณาในรถยนต์มักตกอยู่กับค่ายรถยนต์เป็นหลัก โดยแบ่งบางส่วนให้กับนักพัฒนาแอป ผู้ให้บริการโฆษณา และแพลตฟอร์มบุคคลที่สาม เช่น Google หรือ Apple, สำหรับรถยนต์ EV ซึ่งเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว โอกาสในการนำโมเดลนี้มาใช้ มีสูงมาก โดยเฉพาะแบรนด์ที่พยายามผลักดันโมเดลธุรกิจแบบ subscription-based เช่น Tesla, Rivian และ Lucid และแน่นอนอนาคตของโฆษณาในรถยนต์อาจคล้ายกับสมาร์ทโฟนหรือสมาร์ททีวี ที่มีทั้งโฆษณาแบบบังคับ และโมเดลจ่ายเงินเพื่อปลดล็อกโฆษณา อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกฎระเบียบเกี่ยวกับโฆษณาในรถยนต์ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ ทำให้มีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเหล่านี้
ปัจจัยที่อาจทำหมันระบบโฆษณาในรถยนต์ก็คือ หนึ่ง กฎหมายและกฎระเบียบ โดยที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาจออกกฎหมายควบคุมโฆษณาในรถยนต์ที่อาจรบกวนสมาธิผู้ขับขี่ ออกมาได้ สอง พฤติกรรมผู้บริโภค หากผู้ใช้ปฏิเสธโฆษณาในรถยนต์ในระดับกว้าง ค่ายรถยนต์อาจต้องปรับกลยุทธ์ และสามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่าง AI และระบบอินโฟเทนเมนต์อาจพัฒนาไปในทิศทางที่ทำให้โฆษณามีรูปแบบใหม่ที่คาดไม่ถึง